วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2561

แบบฝึกหัดบทที่ 2



1. ให้นิยามความหมายของ องค์กร และเปรียบเทียบคำจำกัดความด้านเทคนิค กับคำจำกัดความด้านพฤติกรรมของคำว่า องค์กร
                
               องค์กร (organization) หมายถึง บุคคลกลุ่มหนึ่งที่มารวมตัวกัน โดยมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน และดำเนินกิจกรรมบางอย่างร่วมกันอย่างมีขั้นตอนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยโครงสร้างขององค์กรนั้นจะต้องมีโครงสร้างที่เป็นทางการ มีความมั่นคง โดยใช้ทรัพยากรจากสิ่งแวดล้อมมาเป็นตัวช่วย เพื่อนำไปสู่การผลิตสินค้าและการให้บริการที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพได้ โดยองค์กรจะประกอบไปด้วยปัจจัยหลักๆ 3 ปัจจัยด้วยกัน ได้แก่ ปัจจัยแรกคือสิ่งแวดล้อม (ทุน,แรงงาน)  ปัจจัยที่สองคือปัจจัยนำเข้าที่นำไปสู่การผลิตสินค้าและการให้บริการ ปัจจัยที่สามคือ สินค้าและบริการที่จะถูกผู้บริโภค บริโภคด้วยสิ่งแวดล้อมต่างๆ หรือสินค้าและบริการที่จะถูกนำกลับเข้ามาเป็นปัจจัยนำเข้าได้อีกครั้งหนึ่ง
                ด้านเทคนิค คือ องค์กร ต้นทุน แรงงาน เป็นปัจจัยแรกที่จัดอยู่ในปัจจัยสิ่งแวดล้อม นำเข้าสู่กระบวนการผลิต มีการเปลี่ยนแปลงองค์กรไปสู่สินค้าและบริการโดยผ่านกระบวนการผลิต จากนั้นสินค้าและการบริการก็จะถูกบริโภคโดยกระบวนการผลิต ซึ่งมันจะกลายเป็นอุปสงค์ขององค์กร
                ด้านพฤติกรรม เป็นการรวมกันของสิทธิ หน้าที่ สิทธิพิเศษบางอย่าง ภาระผูกพันธ์ และความรับผิดชอบตามหน้าที่ต่างๆของแต่ละบุคคล ซึ่งจะค่อยๆเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและนำไปสู่ความสมดุลระหว่างความขัดแย้งกับความไม่ขัดแย้ง จนเกิดเป็นการยอมรับ

2. อธิบายคำว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ และองค์กรมีความสัมพันธ์กันอย่างไร และอธิบายว่าการนำระบบสารสนเทศมาใช้มีผลกระทบต่อองค์กรอย่างไรบ้าง


องค์กรและระบบสารสนเทศ
         ทั้งระบบสารสนเทศและองค์กรต่างก็มีอิทธิพลซึ่งกันและกัน ระบบสารสนเทศถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินงานและนำเสนอรายงานทางสารสนเทศ รวมถึงสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ ให้แก่ธุรกิจและองค์กร ในขณะเดียวกัน องค์กรก็จะต้องเข้าใจถึงบทบาทสำคัญของระบบสารสนเทศ และพร้อมที่จะอ้าแขนเปิดรับ ด้วยการนำระบบสารสนเทศมาใช้ก็เพื่อให้องค์กรสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ  เหล่านี้
               ปฏิกิริยาระหว่างเทคโนโลยีสารสนเทศและองค์กร มีความซับซ้อนและมีปัจจัยต่างๆ ที่หลากหลายเข้ามาเกี่ยวข้อง ประกอบด้วย โครงสร้างของตัวองค์กรเอง กระบวนการธุรกิจ การเมืองภายในวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และการจัดการการตัดสินใจ ทั้งนี้ผู้บริหารควรตระหนักดีว่า การนำระบบสารสนเทศเข้ามาใช้ในงานองค์กร สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมและชีวิตการทำงานในองค์กรนี้ได้ ในขณะเดียวกัน หากผู้บริหารไม่มีความรู้ในระบบงานเดิมที่กำลังใช้งานอยู่ รวมถึงการไม่เข้าใจถึงวิธีการดำเนินธุรกิจขององค์กร  ระบบที่ได้รับการออกแบบใหม่เพื่อใช้งาน  ก็คงไม่ประสบผลสำเร็จ

ผลกระทบต่อองค์กรที่มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้
- ผลกระทบทางด้านเศรษฐศาสตร์ การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในองค์กรจะช่วยให้องค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้นทั้งด้านการผลิต การทำงาน รายได้ รวมถึงต้นทุนในการปฏิบัติงานและการดำเนินงานของธุรกิจที่ลดลง การนำเทคโนโลยีมาใช้ในช่วงแรกๆ อาจทำให้ต้นทุนก่อตัวสูง เนื่องจากว่าต้องมีการลงทุนด้านอุปกรณ์ต่างๆ แต่เมื่อมีการใช้งานเทคโนโลยีไปเรื่อยๆ ต้นทุนที่ใช้ก็จะลดลงไป เพราะทรัพยากรมีการคงที่ ซึ่งการนำเทคโนโลยีมาใช้ในองค์กรนั้น เป็นการลงทุนแบบรับผลประโยชน์ในระยะยาว เป็นการลงทุนเพียงครั้งเดียว และในการลงทุนนั้นก็จะต้องมีการคำนึงถึงขนาดของธุรกิจขององค์กรด้วย  
-   ผลกระทบด้านโครงสร้างหรือพฤติกรรมภายในองค์กร  ทุกๆองค์กรจะมีโครงสร้างและรูปแบบขององค์กร ปัญหาที่เกิดขึ้นจากองค์กรจะสะท้อนถึงประเภทของโครงสร้างองค์กรที่กำหนดหน้าที่ในการปฏิบัติงานของบุคลากรในองค์กร เมื่อมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในองค์กร โครงสร้างขององค์กรก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปขึ้นอยู่กับผู้บริหารว่ามีการจัดการอย่างไร หากมีการจัดการที่ดีองค์กรก็จะมีประสิทธิภาพในด้านการทำงานมากขึ้น แต่หากมีการจัดการที่ไม่ดี การปฏิบัติงานของบุคลากรในองค์กรก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ลบได้ โดยจะส่งผลต่อสมาชิก ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ลูกค้า รวมถึงภาวะผู้นำที่มีส่วนเกี่ยงข้องทั้งหมด จนก่อให้เกิดความเข้าใจผิด และนำไปสู่ความขัดแย้งในที่สุด


3.เหตุใดจึงเกิดการต่อต้านของคนในองค์กรต่อระบบสารสนเทศ และผู้บริหารต้องทำอย่างไรจึงจะออกแบบระบบและนำระบบมาใช้ให้เกิดความสำเร็จ
       
       การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในองค์กร อาจจะทำให้การทำงานประจำของแต่ละบุคคลได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยจะทำให้บุคคลเหล่านั้นได้รับผลกระทบในทางลบได้ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่ได้รับผลกระทบในลักษณะนี้คือ ความขัดแย้งและการต่อต้าน การไม่ยอมรับในสถานภาพที่ถูกเปลี่ยนแปลงไป เช่น การนำเครื่องจักรมาแทนที่ ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่ผลกระทบทางด้านโครงสร้างและก่อให้เกิดความเสียหายต่อองค์กรได้ในอนาคต ทั้งนี้ผู้บริหารจะต้องมีความเข้าใจในเรื่องของเทคโนโลยีและจะต้องมีการพิจารณาในเรื่องต่างๆก่อนนำเทคโนโลยีมาใช้ในองค์กร ได้แก่
-  ผู้บริหารจะต้องพิจารณาว่าการนำเทคโนโลยีมาใช้นั้นจะทำให้ฟังก์ชั่นต่างๆในองค์กรเปลี่ยนไปหรือไม่
-  โครงสร้างขององค์กรในด้านความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติงานและกระบวนการทางธุรกิจ
-  พิจารณาในด้านวัฒนธรรมและทางการเมือง
การจัดการและการดูแลของผู้บริหาร
-  พิจารณาถึงความสนใจของกลุ่มงาน ที่จะมีผลกระทบต่อการนำเทคโนโลยีมาใช้หรือไม่
ประเภทของงาน การตัดสินใจ และกระบวนการทางธุรกิจ ที่ระบบสารสนเทศได้รับการออกแบบเพื่อช่วยเหลือภายในองค์กร

4. อธิบายว่าแรงผลักดันในการแข่งขัน ของ Porter’s competitive forces model และระบบสารสนเทศมีบทบาทต่อกลยุทธ์การบริหารอย่างไร

                แรงผลักดันในการแข่งขัน ของ Porter’s competitive forces model กล่าวว่า ระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์ ไม่ได้เกิดจากผลกระทบจากคู่แข่งเพียงอย่างเดียว โดยจะต้องพิจารณาจาก 5 ด้าน ได้แก่ คู่แข่ง ตลาดใหม่ สินค้าอื่นที่จะมาทดแทนสินค้าเดิม ผู้ขายวัตถุดิบ แรงผลักดันจากลูกค้า
บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อกลยุทธ์ในการบริหาร
1. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต  เช่น    ลดต้นทุนการบริหารจัดการ    ลดต้นทุนในการผลิต  ช่วยลดบุคลากรหรือใช้บุคลากรในองค์กรได้เต็มศักยภาพมากขึ้น
2. ช่วยเพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ์และตอบสนองความต้องการลูกค้าได้ดีขึ้น
3. ช่วยสร้างสรรและพัฒนากลยุทธ์ในการบริหารจัดการให้ได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้น
4. ช่วยให้องค์บรรลุผลสำเร็จในการจัดการเชิงกลยุทธ์ตามแผนที่วางไว้
5. ช่วยให้เกิดการปรับโครงสร้างองค์กรหรือปรับรื้อองค์กรในทิศทางที่ดีได้
6. ช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น      ตลอดจนสามารถสั่งการ สื่อสารในองค์กรได้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้น
7. ช่วยให้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่มีค่าและจำเป็นต่อองค์กรได้ดีขึ้น
8. ช่วยให้เกิดนวัตกรรมใหม่ในตัวสินค้าและการบริการ
9. ช่วยเปลี่ยนมุมมองในการบริหารจากหน้าที่มาเป็นกระบวนการ

5. กลยุทธ์การแข่งขันขององค์กรมีกลยุทธ์อะไรบ้าง และระบบสารสนเทศมีส่วนสนับสนุนแต่ละกลยุทธ์อย่างไร

กลยุทธ์การแข่งขันขององค์กรมีด้วยกันดังนี้

               - การเป็นผู้นำต้นทุนต่ำ สามารถผลิตสินค้าและบริการที่ให้ต้นทุนต่ำ โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดสรรต้นทุนของการผลิตสินค้าได้ เพื่อรักษาต้นทุนให้ต่ำ โดยที่คุณภาพของสินค้าคงที่ และมีการจัดส่งสินค้าที่ตรงต่อเวลา
               - ความแตกต่างในตัวของผลิตภัณฑ์ มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการออกแบบสินค้าเพื่อให้เกิดความแปลกใหม่ในตัวสินค้า และสร้างความโดดเด่นให้กับผลิตภัณฑ์ ที่แตกต่างจากคู่แข่งอื่นๆได้ โดยที่ผลิตภัณฑ์ยังคงความมีคุณภาพ
              - การทำให้อง์กรสามารถวิเคราะห์การซื้อของลูกค้าได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรสนิยม ความพอใจของลูกค้า การเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ได้ เช่น การนำเทคโนโลยีมาช่วยในด้านการประชาสัมพันธ์
            - การรักษาลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในเรื่องของการบริการต่างๆ  เช่น การบริการหลังการขาย ความรับผิดชอบต่อผลิตภัณฑ์ ความสนใจของลูกค้า เพื่อผลประโยชน์ที่จะทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอีกครั้ง

6. ให้นิยามความหมายของ การจัดการ และหน้าที่ทางการจัดการแบ่งออกเป็นกี่หน้าที่ แต่ละหน้าที่สามารถนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยสนับสนุนให้เกิดประโยชน์อย่างไร

                การจัดการ (Management) คือ กระบวนการที่จะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายขององค์กร ซึ่งเป็นภารกิจของบุคคลหนึ่งหรือหลายคนที่เข้ามาทำหน้าที่ประสานทรัพยากรต่างๆขององค์กร และความพยายามของสมาชิก ทำให้เกิดกิจกรรมต่างๆ ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จขององค์กร โดยมีการวางแผน การจัดองค์กร การจัดคนเข้าทำงาน การอำนวยการ และการควบคุมทรัพยากรณ์ขององค์กร ซึ่งจะต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมภายนอกองค์กรที่มีการแข่งขันมากขึ้น ทรัพยากรลดลง การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยี การตอบสนองต่อวัฒนธรรมที่แตกต่างกันและความต้องการของลุกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา

หน้าที่ของการจัดการแบ่งออกเป็น 5 ประการ คือ

                1.การวางแผน (planning) เป็นการกำหนดแนวทางการดำเนินงานขององค์กรในอนาคต ในลักษณะของแผนงานอย่างกว้าง ผลลัพธ์ที่ได้จะมาในรูปแบบของวิธีการดำเนินงาน ระยะเวลาและทรัพยากรที่ใช้ในการดำเนินงาน
                2.การจัดองค์กร (organizing) เป็นการกำหนดโครงสร้างขององค์กร เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของงาน แสดงให้เห็นถึงการใช้อำนาจหน้าที่และการตัดสินใจเพื่อดำเนินกิจกรรมต่างๆขององค์กร
                3.การจัดคนเข้าทำงาน (staffing) เป็นการจัดสรรบุคลากรให้เหมาะสมกับการปฏิบัติงาน มีการประเมิลผลงานของพนักงาน มีการกำหนดสิ่งตอบแทนการทำงานของพนักงานและเพิ่มพูนความรู้
                4.การอำนวยการ (directing) เป็นการสั่งการหรือให้แนวทางแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา ในเรื่องที่เกี่ยวกับงานที่มอบหมายให้ ผู้บริหารต้องมีการประสานงานระหว่างทีมงานให้เป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็ว โดยใช้การสื่อสารรูปแบบที่เหมาะสมและประหยัดต่อองค์กร
                5.การควบคุม (controlling) เป็นการควบคุมการดำเนินงานให้เป็นไปอย่างเหมาะสมคุ้มกับการลงทุน ผู้บริหารต้องมีการพิจารณาว่าจะเลือใช้วิธีการใดในการควบคุม เช่น ปริมาณ เวลา คุณภาพหรืองบประมาณ และประเมินผลการดำเนินงานที่เป็นไปอย่างเหมาะสม

7.ผู้บริหารแบ่งออกเป็นกี่ระดับ อะไรบ้าง ผู้บริหารแต่ละระดับมีบทบาทและหน้าที่ที่สำคัญอย่างไร และสรุปความสำคัญและลักษณะของสารสนเทศที่ต้องการของผู้บริหารแต่ละระดับ

ผู้บริหารแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ
                       1.ผู้บริหารระดับสูง (Top Manager) มีอำนาจในการบังคับบัญชาโดยทั่วทั้งองค์กร โดยการสั่งการลงมายังผู้บริหารระดับกลางและระดับล่าง ลักษณะงานส่วนใหญ่จะเน้นงานที่ต้องใช้ความคิดในการวิเคราะห์ การตัดสินใจเป็นเรื่องที่ไม่มีความแน่นอนและเกี่ยวข้องกับปัจจัยภายนอกต่างๆ
               2.ผู้บริหารระดับกลาง (Middle Manager) ทำหน้าที่ในการควบคุมการบริหาร ได้แก่ การวางแผนการทำงาน การติดตามการทำงานตามแผนที่วางไว้ มีการตรวจสอบ จัดสรรทรัพยากรรวมถึงประเมินผลการทำงาน เพื่อให้ตรงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
                     3.ผู้บริหารระดับล่าง (Low-level Manager) ควบคุมการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพ และเป็นผู้รายงานผลการปฏิบัติงานไปยังผู้บริหารระดับกลางและระดับสูง มีแบบแผนที่ชัดเจนและแน่นอน


สามารถแจกแจงรายละเอียดลักษณะของสารสนเทศที่ต้องการของผู้บริหารระดับต่างๆ ได้ดังนี้

ความสัญและลักษณะ
ผู้บริหารระดับต้น
ผู้บริหารระดับกลาง
ผู้บริหารระดับสูง
จุดมุ่งหมาย
ระดับปฏิบัติการ
ระดับหน่วยงาน
ระดับองค์กร
แหล่งที่มาของสารสนเทศ
ส่วนใหญ่มาจากภายในองค์กร
มาจากภายในและภายนอกองค์กร
ส่วนใหญ่มาจากภายนอกองค์กร
ขอบเขตสารสนเทศ
แคบลึก
ปานกลาง
กว้างมาก
ระยะเวลา
ระยะสั้น
ระยะกลาง
ระยะยาว
ลักษณะของสารสนเทศ
มีรายละเอียดมาก
มีรายละเอียดปานกลาง
สรุป
ความถี่ของสารสนเทศที่ต้องการ
บ่อยครั้ง เป็นประจำ
เป็นบางช่วง
นานๆครั้ง
ลักษณะของการตัดสินใจ
มีแบบแผนที่ชัดเจนและแน่นอน
มีแบบแผนบ้าง
ไม่มีแบบแผนที่ชัดเจนแน่นอน



8.อธิบายความต้องการสารสนเทศต่อแต่ละบทบาทของผู้บริหาร พร้อมทั้งบอกว่าระบบสารสนเทศใดที่สนับสนุนแต่ละบทบาท

ความต้องการสารสนเทศต่อบทบาทของผู้บริหาร ได้ถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
1.บทบาทระหว่างบุคคล (interpersonal roles) ผู้บริหารที่มีบทบาทต่อบุคคลในองค์กรและภายนอกองค์กร โดยจะเป็นตัวแทนขององค์กรที่คอยติดต่อสื่อสารกับสังคมภายนอกองค์กร บทบาทระหว่างบุคคลมีบทบาทที่ผู้บริหารมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ 3 ประเภท ได้แก่
                1.1 หัวหน้า (Figurehead) บทบาทในการจูงใจหรือบังคับบัญชาให้บุคลากรปฏิบัติตามหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ
                1.2 ผู้นำ (Leader) บทบาทในการกระตุ้น จูงใจให้ผู้อื่นที่อยู่ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติหน้าที่ในด้านการทำงานหรือด้านอื่นๆ
              1.3 ผู้ติดต่อ (Liaison) บทบาทในการติดต่อกับองค์กรหรือหน่วยงานภายนอก เพื่อให้ได้ข้อมูลและการบริการด้านการค้า
2.บทบาทด้านข่าวสาร (informational roles) หมายถึงบทบาทที่ผู้บริหารทำหน้าที่เสมือนเป็นศูนย์รวมของข้อมูลข่าวสาร ทั้งการรับและการส่ข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัยและเชื่อถือได้ไปยังบุคคลที่เกี่ยวข้อง จึงมีบทบาทที่ผู้บริหารต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ 3 ประเภท ได้แก่
          2.1 ผู้ตรวจสอบ (Monitor) บทบาทในการติดตามและรับข้อมูลมาใช้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจองค์กรและสภาพแวดล้อมภายนอก
             2.2 ผู้เผยแพร่ (Disseminator) บทบาทในการรับส่งข้อมูลที่ได้รับจากภายนอก หรือจากหน่วยงานย่อยให้กับบุคลากรขององค์กร
            2.3 โฆษก (Spokesman) บทบาทในการส่งข้อมูลไปยังภายนอก ตามแผนหรือนโยบายขององค์กรเสมือนเป็นโฆษกขององค์กร
3.บทบาทด้านการตัดสินใจ (decisional roles) บทบาทที่ผู้บริหารทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินใจในระดับองค์กร มีบทบาทที่ผู้บริหารมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับการตัดสินใจ 4 ประเภท ได้แก่
             3.1 ผู้จัดการ (Entrepreneur) บาทบาทในการจัดการสภาพแวดล้อมที่เป็นโอกาส และริเริ่มหรือแนะนำด้านหน้าที่การจัดการภายในองค์กร
               3.2 ผู้จัดการสิ่งรบกวน (Disturbance Handler) บทบาทในการปับการทำงานให้ไปในทางที่ถูกเมื่อองค์กรเผชิญหน้ากับสิ่งรบกวนที่ไม่คาดคิด
               3.3 ผู้จัดสรรทรัพยากร (Resource Allocator) บทบาทในการจัดสรรทรัพยากรให้แก่หน่วยงานต่างๆ ตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้
              3.4 ผู้เจรจา (Negotiator) บทบาทในการเป็นตัวแทนขององค์กรในการติดต่อเจรจาหรือแก้ปัญหาความขัดแย้งของกลุ่มหรือองค์กรอื่นๆ



9.ให้นิยามความหมายของ การตัดสินใจและระดับของการตัดสินใจแบ่งเป็นกี่ระดับ อะไรบ้าง

              การตัดสินใจ หมายถึง กระบวนการในการเลือกทางเลือกในการปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ เนื่องจากการดำเนินงานภายในองค์กรต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆมากมาย ในการแก้ปัญหานั้นอาจมีวิธีที่เป็ไปได้หลายทาง จึงจำเป็นต้องทำการตัดสินใจเลือกทางเลือกในการแก้ปัญหาที่เหมาะสม และต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้และความผันแปรของตัวแปรต่างๆที่เกี่ยวข้องด้วย

ระดับการตัดสินใจ ประกอบด้วย 4 ระดับ ได้แก่
              1.การตัดสินใจระดับกลยุทธ์ (Strategic Decision Making) เป็นการตัดสินใจที่มีผลระยะยาว โดยทั่วไปจะเป็นการตัดสินใจของผู้บริหาร
              2.การตัดสินใจระดับการควบคุมการ (Management Control Decision Making) เป็นการตัดสินใจที่มีผลต่อส่วนใดส่วนหนึ่งขององค์กร ที่เป็นส่วนย่อยอยู่ภายใต้การตัดสินใจระดับกลยุทธ์ เป็นการตัดสินใจของผู้บริหารระดับกลาง เกี่ยวกับการวัดผลการทำงาน
              3.การตัดสินใจระดับปฏิบัติการ (Operational Control Decision Making) เป็นการตัดสินใจที่มีผลต่อการปฏิบัติงานและกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน โดยทรัพยากรจะมีการกำหนดไว้เรียบร้อย เป็นการตัดสินใจของผู้บริหารระดับล่าง
      4.การตัดสินใจของผู้เชี่ยวชาญ (Knowledge-level Decision Making) เป็นการตัดสินใจของผู้เชี่ยวชาญ ที่เกี่ยวข้องกับการประเมินทางเลือกของสินค้าหรือบริการใหม่ การสื่อสารความรู้ใหม่ และวิธีการกระจายข้อมูลข่าวสารไปยังหน่วยทุกหน่วยขององค์กร



10. รูปแบบการตัดสินใจของผู้บริหารมีอะไรบ้างแต่ละรูปแบบแตกต่างกันอย่างไร พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

       รูปแบบการตัดสินใจของผู้บริหาร มีการตัดสินใจที่แตกต่างกันไปตามลักษณะของงานที่รับผิดชอบในแต่ละระดับของการบริหาร แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ดังนี้

                1.การตัดสินใจแบบมีโครงสร้าง (Structure) เป็นการตัดสินใจที่ใช้หลักวินิจฉัยแบบที่มีหลักเกณฑ์หรือมีหลักการที่แน่นอนชัดเจน เป็นกระบวนการที่มีการตัดสินใจและการกำหนดทางแก้ไขไว้ล่วงหน้า เนื่องจากเป็นการตัดสินเกี่ยวกับปัญหาที่ทราบดีและมักเกิดขึ้นซ้ำๆ เป็นประจำ โดยวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดจะถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนตามวัตตถุประสงค์ที่วางไว้ และมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดค่าใช้จ่ายต่ำที่สุดหรือให้เกิดกำไรสูงสุด เช่น
- การหาระดับสินค้าคงคลังที่เหมาะสม
- การจัดซื้อสินค้าในปริมาณที่ทำให้เกิดการประหยัด
- การเลือกลงทุนที่เหมาะสม
                ตัวอย่างของการตัดสินใจแบบโครงสร้างที่ใช้กับงานด้านธุรกิจ เช่น การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับสินค้าคงคลังว่าจะต้องสั่งของเข้าเท่าไหร่ จึงจะอยู่ในจุดที่คุ้มทุน และทำให้เกิดการประหยัดมากที่สุด
                
      2.การตัดสินใจแบบกึ่งโครงสร้าง (Semi structure) เป็นการตัดสินใจแบบผสมระหว่างแบบมีโครงสร้างและแบบไม่มีโครงสร้าง คือบางส่วนสามารถตัดสินใจแบบมีโครงสร้างได้ แต่บางส่วนไม่สามารถทำได้
                ปัญหาแบบกึ่งโครงสร้างนี้ จะใช้วิธีการแก้ปัญหาแบบมาตรฐานและพิจารณาโดยมนุษย์รวมเข้าไว้ด้วยกัน จึงมีขั้นตอนในการแก้ปัญหาไม่ชัดเจนและซับซ้อนมากกว่าแบบมีโครงสร้าง ปัญหาบางส่วนสามารถเขียนเป็นแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ได้ แต่ปัญหาบางส่วนไม่สามารถเขียนออกมาในรูปแบบของจำลองได้
                สารสนเทศที่ใช้จะเป็นสารสนเทศที่มีโครงสร้างและเป็นรูปแบบรายงานที่ชัดเจน มีข้อมูลแนวโน้มต่างๆที่มาจากแหล่งข้อมูลภายนอกองค์กร ตัวอย่างของการตัดสินใจแบบกึ่โครงสร้าง เช่น การทำสัญญาทางการค้า  การกำหนดงบประมาณทางการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ การตัดสินใจให้เครดิตกับลูกค้า เป็นต้น

                3.การตัดสินใจแบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured) เป็นการตัดสินใจที่ไม่มีหลักการหรือวิธีการที่แน่นอนที่สามารถนำมาใช้ในการตัดสินใจได้ อีกทั้งมีทางเลือกได้มากมายหลายทางเพื่อใช้แก้ปัญหาและตัวแปรที่เข้ามาเกี่ยวข้องในการตัดสินนั้นมีจำนวนมากและซับซ้อน มีโอกาสผิดพลาด หรือมีความเสี่ยงมากกว่าการตัดสินใจแบบที่มีโครงสร้างและแบบกึ่งโครงสร้าง
                เป็นการตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหาที่มีรูปแบบไม่ชัดเจน จึงต้องใช้สัญชาติญาณ ประสบการณ์ ความรู้และความชำนาญของผู้บริหารในการตัดสินใจ
                สารสนเทศที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นสารสนเทศที่มาจากภายนอกองค์กร เช่น ข้อมูลข่าวสารทางการเมมือง เศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศ หรือแนวโน้มทางเทคโนโลยี เป็นต้น
                ตัวอย่างของการตัดสินใจแบบไม่มีโครงสร้าง เช่น การวางแผนการบริการใหม่ การว่าจ้างผู้บริหารใหม่เพิ่ม ปัญหาพนักงานประท้วง หรือการเลือกกลุ่มของโครงงานวิจัยและพัฒนาเพื่อนำไปใช้ในปีหน้า



11.อธิบายกระบวนการตัดสินใจของ Simon ประกอบด้วยขั้นตอนอะไรบ้าง

               Herbert A.Simon  ให้ความหมายการตัดสินใจว่า เป็นการกำหนดขอบเขตของนโยบายทั้งหมด และเป็นภารกิจที่แผ่กระจายไปทั่วการบริหารองค์การเช่นเดียวกับการปฏิบัติงาน  แท้จริงแล้วการตัดสินใจมีความสำคัญเกี่ยวข้องกันกับทฤษฎีการบริหารโดยทั่วไป  จะต้องรวมหลักการขององค์การเพื่อประกันความถูกต้องของการตัดสินใจ  เป็นหลักการที่เที่ยงตรงประกันประสิทธิผลของการปฏิบัติงาน 

              กระบวนการตัดสินใจของ Herbert A.Simon  ได้แบ่งกระบวนการตัดสินใจออกเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่
                   1.การกำหนดปัญหา (Intelligence Phase) เป็นการรวบรวมข้อเท็จจริง ความเชื่อ ความคิดและเหตุผลต่างๆ เพื่อใช้ในการตัดสินใจ ผู้บริหารจะต้องมองเห็นว่าเกิดปัญหาอะไรในองค์กร ที่อาจจะเป็นต่อการดำเนินงานขององค์กรหรือการดำเนินธุรกิจ ซึ่งหากรวบรวมข้อมูลได้ครบถ้วนมากเท่าใดก็สามารถนำไปกำหนด ทางเลือกในการแก้ปัญหาที่ชัดเจนและแน่นอนได้มากขึ้นเท่านั้น
                 2.การออกแบบ (Design Phase) เป็นการสร้าง พัฒนาและวิเคราะห์ทางเลือกในการปฏิบัติที่เป็นไปได้ รวมทั้งการทดสอบและประเมินทางแก้ปัญหาที่เกิด โดยการสร้างตัวแบบเพื่อการแปลงปัญหาให้อยู่ในรูปตัวแบบเชิงปริมาณ หรือตัวแบบทางคณิตศาสตร์ เพื่ออธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทั้งหมด การตั้งสมมติฐาน การกำหนดเงื่อนไขแบบต่างๆ และทำการทดสอบทางเลือกต่างๆ ที่มีความเป็นไปได้ในการนำมาแก้ไขปัญหา
              3.การตัดสินใจเลือกทางเลือก (Choice Phase) เป็นการตัดสินใจเลือกทางเลือกใดทางเลือกหนึ่งจากทางเลือกทั้งหมด ที่ได้มีการพิจารณาข้อดี ข้อจำกัด ตามหลักเกณฑ์การเลือกที่กำหนดไว้ การตัดสินใจของผู้บริหารอาจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด หรือทางเลือกที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในขณะนั้น เพื่อนะไปปฏิบัติ ซึ่งขึ้นอยู่กับไหวพริบ ประสบการณ์ความเด็ดขาด ความกล้าได้กล้าเสีย หรือวิสัยทัศน์ของผู้บริหารแต่ละคนด้วย
                4.การนำไปปฏิบัติ (Implementation Phase) เป็นขั้นตอนในการนำทางเลือกที่เลือกไว้มาปฏิบัติจริงเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ผู้บริหารจะต้องกำหนดว่าจะเริ่มดำเนินเมื่อใดและดำเนินการอย่างไร เมื่อนำไปปฏิบัติแล้วต้องมีการประเมินผลของทางเลือกที่นำมาใช้ในการแก้ปัญหา และผลการปฏิบัติเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่





12. อธิบายระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการแต่ละชนิด สนับสนุนประเภทการตัดสินใจ และการตัดสินใจของผู้บริหารแต่ละระดับ อย่างไร

ประเภทของระบบสารสนเทศ

                1. ระบบสารสนเทศประมวลผลธุรกรรม (Transaction Processing Systems: TPS) เป็นระบบสารสนเทศแบบประมวลผลธุรกรรมทำหน้าที่รวบรวม บันทึกข้อมูลในแฟ้มข้อมูล (File) หรือฐานข้อมูล(Database) และประมวลผลข้อมูลที่เกิดจากการทำธุรกรรมและการปฏิบัติงานประจำ (Routine)ขององค์การเพื่อนำไปจัดทำระบบสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลนั้นๆ ลักษณะการประมวลผลข้อมูลของ TPS แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
                1.1การประมวลผลแบบกลุ่ม (Batch Processing) เป็นการประมวลผลที่ข้อมูลจะถูกรวบรวมและสะสมไว้ระหว่างช่วงเวลาที่กำหนดแล้วจึงจะประมวลผลรวมกันเป็นครั้งเดียวการออกแบบลักษณะการประมวลผลแบบกลุ่มก็เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย และให้เกิดความเหมาะสมกับลักษณะของงาน
                1.2 การประมวลผลแบบทันที (Real-Time Processing) เป็นการประมวลผลแต่ละรายการและให้ผลลัพธ์ทันทีเมื่อมีการป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบการประมวลผลแบบทันทีถ้าเป็นการประมวลผลรายการแบบออนไลน์จะเรียกว่า Online Transaction Processing หรือ OLTP เช่น การจองตั๋วเครื่องบิน

                2.ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information System: MIS) เป็นระบบสารสนเทศที่โดยปกติแล้วจะประมวลผลและสรุปผลจากแฟ้มข้อมูลหรือฐานข้อมูล ที่ได้จากTPSเพื่อจัดทำสารสนเทศตามความต้องการของผู้บริหารสำหรับนำไปใช้ในการวางแผน ควบคุม กำกับดูแล สั่งการ และประกอบการตัดสินใจโดยสามารถจำแนกได้เป็น 4 ประเภทดังนี้
              2.1 รายงานที่จัดทำตามระยะเวลาที่กำหนด (Periodic Reports) เป็นรายงานที่จัดทำขึ้นตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าซึ่งอาจเป็นรายงานที่จัดทำขึ้นทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน หรือทุกๆ ปี
                2.2 รายงานสรุป (Summarized Reports) เป็นรายงานที่จัดทำเพื่อสรุปการดำเนินงานโดยภาพรวม โดยปกติจะแสดงผลในรูปของตารางสรุปจำนวนและกราฟเปรียบเทียบ
                2.3 รายงานที่จัดทำตามเงื่อนไขเฉพาะ (Exception Reports) เป็นรายงานที่จัดทำตามเงื่อนไขพิเศษไม่อยู่ในเกณฑ์การจัดทำรายงานตามปกติ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้บริหารได้ใช้สารสนเทศสำหรับการตัดสินใจอย่างทัน เวลา
                2.4 รายงานที่จัดทำตามความต้องการ (Demand Reports) เป็นรายงานที่มีลักษณะตรงข้ามกับรายงานที่จัดทำตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งรายงานจะกระทำตามเวลาอย่างสม่ำเสมอ ในขณะที่ Demand Reports จะจัดทำเมื่อผู้บริหารมีความต้องการในรายงานนั้นๆ เท่านั้น

                3.ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support Systems: DSS) เป็นระบบสารสนเทศที่นำข้อมูลจากฐานข้อมูลต่างๆ มาใช้ในการตัดสินใจ และจะช่วยสนับสนุนการแก้ปัญหาและตัดสินใจเฉพาะกรณีตามที่ผู้บริหารต้องการ เป็นการเน้นการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพลักษณะสำคัญของDSSคือจะต้องเป็นระบบที่ให้สารสนเทศอย่างรวดเร็วต่อการตัดสินใจเพื่อใช้ในการแก้ปัญหาและกำหนดกลยุทธ์ ดังนั้นDSSจึงควรออกแบบในลักษณะที่โต้ตอบกับผู้ใช้เพื่อสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูล

                4. ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูง (Executive Support Systems: ESS) เป็นระบบสารสนเทศที่ช่วยสนับสนุนการวิเคราะห์ปัญหาศึกษาแนวโน้มและการวางแผนกลยุทธ์ ผู้บริหารสามารถเข้าถึงสารสนเทศโดยกำหนดมุมมองได้ในรูปแบบต่างๆจึงเป็นระบบที่มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวสูง และรวดเร็วต่อการใช้งานได้ง่ายEISสามารถเข้าถึงสามาสนเทศจากฐานข้อมูลภายในและภายนอกองค์การและจะนำเสนอ สารสนเทศที่ได้จากการวิเคราะห์ในรูปของรายงาน ตาราง และ กราฟ เพื่อการสรุปสารสนเทศให้ผู้บริหารได้เข้าใจง่ายและประหยัดเวลา

                 5.ระบบสารสนเทศความรู้ (KWS) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าระบบงานสร้างความรู้ หรือ จัดการความรู้ เป็นระบบที่ช่วยสนับสนุนบุคลากรระดับวิชาชีพที่มีความรู้สูงและทักษะเฉพาะทาง (Knowledge Workers) เช่น วิศวกร แพทย์ นักกฎหมาย ทนาย นักวิทยาศาสตร์ ที่ทำงานด้านการสร้างความรู้เพื่อพัฒนาการคิดค้นและใช้เป็นฐานรองรับการจัดการความรู้ (knowledge-based system) และอาจนำเทคโนโลยีระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) มาประยุกต์ใช้ ในการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ บริการใหม่ การจัดหมวดหมู่และบูรณาการความรู้ใหม่เข้าไปในองค์การ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในหน่วยงาน ซึ่งหน่วยงานจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาสนับสนุนให้การพัฒนาเกิดขึ้นได้โดยสะดวก สามารถแข่งขันได้ทั้งในด้านเวลา คุณภาพ และราคา ระบบต้องอาศัยแบบจำลองที่สร้างขึ้น ตลอดจนการทดลองการผลิตหรือดำเนินการ ก่อนที่จะนำเข้ามาดำเนินการจริงในธุรกิจ ผลลัพธ์ของระบบนี้ มักอยู่ในรูปของ สิ่งประดิษฐ์ ตัวแบบ รูปแบบ เป็นต้น

                6. ระบบสารสนเทศสำนักงาน (Office Information Systems: OIS) เป็นระบบเกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อัตโนมัติในสำนักงาน สำหรับช่วยงานต่างๆ ในสำนักงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น งานพิมพ์เอกสารด้วยโปรแกรม Work Processing งานจัดทำเอกสารและส่งทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ E-mail งานจัดหน้าเอกสารด้วยโปรแกรมการพิมพ์ตั้งโต๊ะ เป็นต้น



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น