1. ให้นิยามความหมายของ “องค์กร” และเปรียบเทียบคำจำกัดความด้านเทคนิค กับคำจำกัดความด้านพฤติกรรมของคำว่า “องค์กร”
องค์กร (organization) หมายถึง
บุคคลกลุ่มหนึ่งที่มารวมตัวกัน
โดยมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน และดำเนินกิจกรรมบางอย่างร่วมกันอย่างมีขั้นตอนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
โดยโครงสร้างขององค์กรนั้นจะต้องมีโครงสร้างที่เป็นทางการ มีความมั่นคง
โดยใช้ทรัพยากรจากสิ่งแวดล้อมมาเป็นตัวช่วย
เพื่อนำไปสู่การผลิตสินค้าและการให้บริการที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพได้
โดยองค์กรจะประกอบไปด้วยปัจจัยหลักๆ 3 ปัจจัยด้วยกัน ได้แก่
ปัจจัยแรกคือสิ่งแวดล้อม (ทุน,แรงงาน)
ปัจจัยที่สองคือปัจจัยนำเข้าที่นำไปสู่การผลิตสินค้าและการให้บริการ
ปัจจัยที่สามคือ สินค้าและบริการที่จะถูกผู้บริโภค บริโภคด้วยสิ่งแวดล้อมต่างๆ
หรือสินค้าและบริการที่จะถูกนำกลับเข้ามาเป็นปัจจัยนำเข้าได้อีกครั้งหนึ่ง
ด้านเทคนิค
คือ องค์กร ต้นทุน แรงงาน เป็นปัจจัยแรกที่จัดอยู่ในปัจจัยสิ่งแวดล้อม
นำเข้าสู่กระบวนการผลิต
มีการเปลี่ยนแปลงองค์กรไปสู่สินค้าและบริการโดยผ่านกระบวนการผลิต
จากนั้นสินค้าและการบริการก็จะถูกบริโภคโดยกระบวนการผลิต
ซึ่งมันจะกลายเป็นอุปสงค์ขององค์กร
ด้านพฤติกรรม
เป็นการรวมกันของสิทธิ หน้าที่ สิทธิพิเศษบางอย่าง ภาระผูกพันธ์
และความรับผิดชอบตามหน้าที่ต่างๆของแต่ละบุคคล ซึ่งจะค่อยๆเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและนำไปสู่ความสมดุลระหว่างความขัดแย้งกับความไม่ขัดแย้ง
จนเกิดเป็นการยอมรับ
2. อธิบายคำว่า
เทคโนโลยีสารสนเทศ และองค์กรมีความสัมพันธ์กันอย่างไร
และอธิบายว่าการนำระบบสารสนเทศมาใช้มีผลกระทบต่อองค์กรอย่างไรบ้าง
องค์กรและระบบสารสนเทศ
ทั้งระบบสารสนเทศและองค์กรต่างก็มีอิทธิพลซึ่งกันและกัน
ระบบสารสนเทศถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินงานและนำเสนอรายงานทางสารสนเทศ
รวมถึงสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ ให้แก่ธุรกิจและองค์กร ในขณะเดียวกัน
องค์กรก็จะต้องเข้าใจถึงบทบาทสำคัญของระบบสารสนเทศ และพร้อมที่จะอ้าแขนเปิดรับ
ด้วยการนำระบบสารสนเทศมาใช้ก็เพื่อให้องค์กรสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ
เหล่านี้
ปฏิกิริยาระหว่างเทคโนโลยีสารสนเทศและองค์กร
มีความซับซ้อนและมีปัจจัยต่างๆ ที่หลากหลายเข้ามาเกี่ยวข้อง
ประกอบด้วย โครงสร้างของตัวองค์กรเอง กระบวนการธุรกิจ การเมืองภายในวัฒนธรรม
สิ่งแวดล้อม และการจัดการการตัดสินใจ ทั้งนี้ผู้บริหารควรตระหนักดีว่า
การนำระบบสารสนเทศเข้ามาใช้ในงานองค์กร
สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมและชีวิตการทำงานในองค์กรนี้ได้ ในขณะเดียวกัน
หากผู้บริหารไม่มีความรู้ในระบบงานเดิมที่กำลังใช้งานอยู่
รวมถึงการไม่เข้าใจถึงวิธีการดำเนินธุรกิจขององค์กร ระบบที่ได้รับการออกแบบใหม่เพื่อใช้งาน
ก็คงไม่ประสบผลสำเร็จ
ผลกระทบต่อองค์กรที่มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้
- ผลกระทบทางด้านเศรษฐศาสตร์ การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในองค์กรจะช่วยให้องค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้นทั้งด้านการผลิต
การทำงาน รายได้ รวมถึงต้นทุนในการปฏิบัติงานและการดำเนินงานของธุรกิจที่ลดลง การนำเทคโนโลยีมาใช้ในช่วงแรกๆ
อาจทำให้ต้นทุนก่อตัวสูง เนื่องจากว่าต้องมีการลงทุนด้านอุปกรณ์ต่างๆ
แต่เมื่อมีการใช้งานเทคโนโลยีไปเรื่อยๆ ต้นทุนที่ใช้ก็จะลดลงไป
เพราะทรัพยากรมีการคงที่ ซึ่งการนำเทคโนโลยีมาใช้ในองค์กรนั้น
เป็นการลงทุนแบบรับผลประโยชน์ในระยะยาว เป็นการลงทุนเพียงครั้งเดียว
และในการลงทุนนั้นก็จะต้องมีการคำนึงถึงขนาดของธุรกิจขององค์กรด้วย
- ผลกระทบด้านโครงสร้างหรือพฤติกรรมภายในองค์กร ทุกๆองค์กรจะมีโครงสร้างและรูปแบบขององค์กร
ปัญหาที่เกิดขึ้นจากองค์กรจะสะท้อนถึงประเภทของโครงสร้างองค์กรที่กำหนดหน้าที่ในการปฏิบัติงานของบุคลากรในองค์กร
เมื่อมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในองค์กร โครงสร้างขององค์กรก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปขึ้นอยู่กับผู้บริหารว่ามีการจัดการอย่างไร
หากมีการจัดการที่ดีองค์กรก็จะมีประสิทธิภาพในด้านการทำงานมากขึ้น
แต่หากมีการจัดการที่ไม่ดี
การปฏิบัติงานของบุคลากรในองค์กรก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ลบได้
โดยจะส่งผลต่อสมาชิก ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ลูกค้า รวมถึงภาวะผู้นำที่มีส่วนเกี่ยงข้องทั้งหมด
จนก่อให้เกิดความเข้าใจผิด และนำไปสู่ความขัดแย้งในที่สุด
3.เหตุใดจึงเกิดการต่อต้านของคนในองค์กรต่อระบบสารสนเทศ
และผู้บริหารต้องทำอย่างไรจึงจะออกแบบระบบและนำระบบมาใช้ให้เกิดความสำเร็จ
การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในองค์กร
อาจจะทำให้การทำงานประจำของแต่ละบุคคลได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
โดยจะทำให้บุคคลเหล่านั้นได้รับผลกระทบในทางลบได้
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่ได้รับผลกระทบในลักษณะนี้คือ ความขัดแย้งและการต่อต้าน
การไม่ยอมรับในสถานภาพที่ถูกเปลี่ยนแปลงไป เช่น การนำเครื่องจักรมาแทนที่
ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่ผลกระทบทางด้านโครงสร้างและก่อให้เกิดความเสียหายต่อองค์กรได้ในอนาคต
ทั้งนี้ผู้บริหารจะต้องมีความเข้าใจในเรื่องของเทคโนโลยีและจะต้องมีการพิจารณาในเรื่องต่างๆก่อนนำเทคโนโลยีมาใช้ในองค์กร
ได้แก่
- ผู้บริหารจะต้องพิจารณาว่าการนำเทคโนโลยีมาใช้นั้นจะทำให้ฟังก์ชั่นต่างๆในองค์กรเปลี่ยนไปหรือไม่
- โครงสร้างขององค์กรในด้านความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติงานและกระบวนการทางธุรกิจ
- พิจารณาในด้านวัฒนธรรมและทางการเมือง
- การจัดการและการดูแลของผู้บริหาร
- พิจารณาถึงความสนใจของกลุ่มงาน ที่จะมีผลกระทบต่อการนำเทคโนโลยีมาใช้หรือไม่
- ประเภทของงาน
การตัดสินใจ และกระบวนการทางธุรกิจ
ที่ระบบสารสนเทศได้รับการออกแบบเพื่อช่วยเหลือภายในองค์กร
4. อธิบายว่าแรงผลักดันในการแข่งขัน
ของ Porter’s competitive
forces model และระบบสารสนเทศมีบทบาทต่อกลยุทธ์การบริหารอย่างไร
แรงผลักดันในการแข่งขัน ของ
Porter’s competitive forces model กล่าวว่า ระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์
ไม่ได้เกิดจากผลกระทบจากคู่แข่งเพียงอย่างเดียว โดยจะต้องพิจารณาจาก 5 ด้าน ได้แก่
คู่แข่ง ตลาดใหม่ สินค้าอื่นที่จะมาทดแทนสินค้าเดิม ผู้ขายวัตถุดิบ
แรงผลักดันจากลูกค้า
บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อกลยุทธ์ในการบริหาร
1. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
เช่น ลดต้นทุนการบริหารจัดการ ลดต้นทุนในการผลิต
ช่วยลดบุคลากรหรือใช้บุคลากรในองค์กรได้เต็มศักยภาพมากขึ้น
2. ช่วยเพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ์และตอบสนองความต้องการลูกค้าได้ดีขึ้น
3. ช่วยสร้างสรรและพัฒนากลยุทธ์ในการบริหารจัดการให้ได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้น
4. ช่วยให้องค์บรรลุผลสำเร็จในการจัดการเชิงกลยุทธ์ตามแผนที่วางไว้
5. ช่วยให้เกิดการปรับโครงสร้างองค์กรหรือปรับรื้อองค์กรในทิศทางที่ดีได้
6. ช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตลอดจนสามารถสั่งการ
สื่อสารในองค์กรได้ชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้น
7. ช่วยให้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่มีค่าและจำเป็นต่อองค์กรได้ดีขึ้น
8. ช่วยให้เกิดนวัตกรรมใหม่ในตัวสินค้าและการบริการ
9. ช่วยเปลี่ยนมุมมองในการบริหารจากหน้าที่มาเป็นกระบวนการ
5.
กลยุทธ์การแข่งขันขององค์กรมีกลยุทธ์อะไรบ้าง และระบบสารสนเทศมีส่วนสนับสนุนแต่ละกลยุทธ์อย่างไร
กลยุทธ์การแข่งขันขององค์กรมีด้วยกันดังนี้
- การเป็นผู้นำต้นทุนต่ำ
สามารถผลิตสินค้าและบริการที่ให้ต้นทุนต่ำ
โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดสรรต้นทุนของการผลิตสินค้าได้ เพื่อรักษาต้นทุนให้ต่ำ โดยที่คุณภาพของสินค้าคงที่ และมีการจัดส่งสินค้าที่ตรงต่อเวลา
- ความแตกต่างในตัวของผลิตภัณฑ์
มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการออกแบบสินค้าเพื่อให้เกิดความแปลกใหม่ในตัวสินค้า
และสร้างความโดดเด่นให้กับผลิตภัณฑ์ ที่แตกต่างจากคู่แข่งอื่นๆได้
โดยที่ผลิตภัณฑ์ยังคงความมีคุณภาพ
- การทำให้อง์กรสามารถวิเคราะห์การซื้อของลูกค้าได้
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรสนิยม ความพอใจของลูกค้า
การเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ได้ เช่น
การนำเทคโนโลยีมาช่วยในด้านการประชาสัมพันธ์
- การรักษาลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ
มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในเรื่องของการบริการต่างๆ เช่น การบริการหลังการขาย
ความรับผิดชอบต่อผลิตภัณฑ์ ความสนใจของลูกค้า
เพื่อผลประโยชน์ที่จะทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอีกครั้ง
6. ให้นิยามความหมายของ “การจัดการ”
และหน้าที่ทางการจัดการแบ่งออกเป็นกี่หน้าที่
แต่ละหน้าที่สามารถนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยสนับสนุนให้เกิดประโยชน์อย่างไร
การจัดการ (Management) คือ
กระบวนการที่จะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายขององค์กร
ซึ่งเป็นภารกิจของบุคคลหนึ่งหรือหลายคนที่เข้ามาทำหน้าที่ประสานทรัพยากรต่างๆขององค์กร
และความพยายามของสมาชิก ทำให้เกิดกิจกรรมต่างๆ ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จขององค์กร
โดยมีการวางแผน การจัดองค์กร การจัดคนเข้าทำงาน การอำนวยการ
และการควบคุมทรัพยากรณ์ขององค์กร
ซึ่งจะต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมภายนอกองค์กรที่มีการแข่งขันมากขึ้น ทรัพยากรลดลง
การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยี
การตอบสนองต่อวัฒนธรรมที่แตกต่างกันและความต้องการของลุกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
หน้าที่ของการจัดการแบ่งออกเป็น 5 ประการ คือ
1.การวางแผน (planning) เป็นการกำหนดแนวทางการดำเนินงานขององค์กรในอนาคต ในลักษณะของแผนงานอย่างกว้าง
ผลลัพธ์ที่ได้จะมาในรูปแบบของวิธีการดำเนินงาน
ระยะเวลาและทรัพยากรที่ใช้ในการดำเนินงาน
2.การจัดองค์กร
(organizing) เป็นการกำหนดโครงสร้างขององค์กร
เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของงาน แสดงให้เห็นถึงการใช้อำนาจหน้าที่และการตัดสินใจเพื่อดำเนินกิจกรรมต่างๆขององค์กร
3.การจัดคนเข้าทำงาน
(staffing) เป็นการจัดสรรบุคลากรให้เหมาะสมกับการปฏิบัติงาน
มีการประเมิลผลงานของพนักงาน
มีการกำหนดสิ่งตอบแทนการทำงานของพนักงานและเพิ่มพูนความรู้
4.การอำนวยการ (directing) เป็นการสั่งการหรือให้แนวทางแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา
ในเรื่องที่เกี่ยวกับงานที่มอบหมายให้
ผู้บริหารต้องมีการประสานงานระหว่างทีมงานให้เป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็ว
โดยใช้การสื่อสารรูปแบบที่เหมาะสมและประหยัดต่อองค์กร
5.การควบคุม (controlling) เป็นการควบคุมการดำเนินงานให้เป็นไปอย่างเหมาะสมคุ้มกับการลงทุน
ผู้บริหารต้องมีการพิจารณาว่าจะเลือใช้วิธีการใดในการควบคุม เช่น ปริมาณ เวลา
คุณภาพหรืองบประมาณ และประเมินผลการดำเนินงานที่เป็นไปอย่างเหมาะสม
7.ผู้บริหารแบ่งออกเป็นกี่ระดับ
อะไรบ้าง ผู้บริหารแต่ละระดับมีบทบาทและหน้าที่ที่สำคัญอย่างไร
และสรุปความสำคัญและลักษณะของสารสนเทศที่ต้องการของผู้บริหารแต่ละระดับ
ผู้บริหารแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ
1.ผู้บริหารระดับสูง
(Top Manager) มีอำนาจในการบังคับบัญชาโดยทั่วทั้งองค์กร
โดยการสั่งการลงมายังผู้บริหารระดับกลางและระดับล่าง ลักษณะงานส่วนใหญ่จะเน้นงานที่ต้องใช้ความคิดในการวิเคราะห์
การตัดสินใจเป็นเรื่องที่ไม่มีความแน่นอนและเกี่ยวข้องกับปัจจัยภายนอกต่างๆ
2.ผู้บริหารระดับกลาง
(Middle Manager) ทำหน้าที่ในการควบคุมการบริหาร ได้แก่
การวางแผนการทำงาน การติดตามการทำงานตามแผนที่วางไว้ มีการตรวจสอบ
จัดสรรทรัพยากรรวมถึงประเมินผลการทำงาน เพื่อให้ตรงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
3.ผู้บริหารระดับล่าง
(Low-level Manager) ควบคุมการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพ
และเป็นผู้รายงานผลการปฏิบัติงานไปยังผู้บริหารระดับกลางและระดับสูง
มีแบบแผนที่ชัดเจนและแน่นอน
สามารถแจกแจงรายละเอียดลักษณะของสารสนเทศที่ต้องการของผู้บริหารระดับต่างๆ
ได้ดังนี้
ความสัญและลักษณะ
|
ผู้บริหารระดับต้น
|
ผู้บริหารระดับกลาง
|
ผู้บริหารระดับสูง
|
จุดมุ่งหมาย
|
ระดับปฏิบัติการ
|
ระดับหน่วยงาน
|
ระดับองค์กร
|
แหล่งที่มาของสารสนเทศ
|
ส่วนใหญ่มาจากภายในองค์กร
|
มาจากภายในและภายนอกองค์กร
|
ส่วนใหญ่มาจากภายนอกองค์กร
|
ขอบเขตสารสนเทศ
|
แคบลึก
|
ปานกลาง
|
กว้างมาก
|
ระยะเวลา
|
ระยะสั้น
|
ระยะกลาง
|
ระยะยาว
|
ลักษณะของสารสนเทศ
|
มีรายละเอียดมาก
|
มีรายละเอียดปานกลาง
|
สรุป
|
ความถี่ของสารสนเทศที่ต้องการ
|
บ่อยครั้ง
เป็นประจำ
|
เป็นบางช่วง
|
นานๆครั้ง
|
ลักษณะของการตัดสินใจ
|
มีแบบแผนที่ชัดเจนและแน่นอน
|
มีแบบแผนบ้าง
|
ไม่มีแบบแผนที่ชัดเจนแน่นอน
|
8.อธิบายความต้องการสารสนเทศต่อแต่ละบทบาทของผู้บริหาร
พร้อมทั้งบอกว่าระบบสารสนเทศใดที่สนับสนุนแต่ละบทบาท
ความต้องการสารสนเทศต่อบทบาทของผู้บริหาร ได้ถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
1.บทบาทระหว่างบุคคล
(interpersonal roles) ผู้บริหารที่มีบทบาทต่อบุคคลในองค์กรและภายนอกองค์กร
โดยจะเป็นตัวแทนขององค์กรที่คอยติดต่อสื่อสารกับสังคมภายนอกองค์กร
บทบาทระหว่างบุคคลมีบทบาทที่ผู้บริหารมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ 3 ประเภท ได้แก่
1.1 หัวหน้า (Figurehead) บทบาทในการจูงใจหรือบังคับบัญชาให้บุคลากรปฏิบัติตามหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ
1.2 ผู้นำ (Leader) บทบาทในการกระตุ้น
จูงใจให้ผู้อื่นที่อยู่ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติหน้าที่ในด้านการทำงานหรือด้านอื่นๆ
1.3 ผู้ติดต่อ (Liaison) บทบาทในการติดต่อกับองค์กรหรือหน่วยงานภายนอก
เพื่อให้ได้ข้อมูลและการบริการด้านการค้า
2.บทบาทด้านข่าวสาร
(informational roles) หมายถึงบทบาทที่ผู้บริหารทำหน้าที่เสมือนเป็นศูนย์รวมของข้อมูลข่าวสาร
ทั้งการรับและการส่ข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัยและเชื่อถือได้ไปยังบุคคลที่เกี่ยวข้อง
จึงมีบทบาทที่ผู้บริหารต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ 3 ประเภท ได้แก่
2.1 ผู้ตรวจสอบ (Monitor) บทบาทในการติดตามและรับข้อมูลมาใช้
เพื่อให้เกิดความเข้าใจองค์กรและสภาพแวดล้อมภายนอก
2.2 ผู้เผยแพร่ (Disseminator) บทบาทในการรับส่งข้อมูลที่ได้รับจากภายนอก
หรือจากหน่วยงานย่อยให้กับบุคลากรขององค์กร
2.3 โฆษก (Spokesman) บทบาทในการส่งข้อมูลไปยังภายนอก
ตามแผนหรือนโยบายขององค์กรเสมือนเป็นโฆษกขององค์กร
3.บทบาทด้านการตัดสินใจ
(decisional roles) บทบาทที่ผู้บริหารทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินใจในระดับองค์กร
มีบทบาทที่ผู้บริหารมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับการตัดสินใจ 4 ประเภท ได้แก่
3.1 ผู้จัดการ (Entrepreneur) บาทบาทในการจัดการสภาพแวดล้อมที่เป็นโอกาส
และริเริ่มหรือแนะนำด้านหน้าที่การจัดการภายในองค์กร
3.2 ผู้จัดการสิ่งรบกวน
(Disturbance Handler) บทบาทในการปับการทำงานให้ไปในทางที่ถูกเมื่อองค์กรเผชิญหน้ากับสิ่งรบกวนที่ไม่คาดคิด
3.3 ผู้จัดสรรทรัพยากร
(Resource Allocator) บทบาทในการจัดสรรทรัพยากรให้แก่หน่วยงานต่างๆ
ตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้
3.4 ผู้เจรจา (Negotiator) บทบาทในการเป็นตัวแทนขององค์กรในการติดต่อเจรจาหรือแก้ปัญหาความขัดแย้งของกลุ่มหรือองค์กรอื่นๆ
9.ให้นิยามความหมายของ “การตัดสินใจ” และระดับของการตัดสินใจแบ่งเป็นกี่ระดับ
อะไรบ้าง
การตัดสินใจ
หมายถึง กระบวนการในการเลือกทางเลือกในการปฏิบัติ
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้
เนื่องจากการดำเนินงานภายในองค์กรต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆมากมาย
ในการแก้ปัญหานั้นอาจมีวิธีที่เป็ไปได้หลายทาง จึงจำเป็นต้องทำการตัดสินใจเลือกทางเลือกในการแก้ปัญหาที่เหมาะสม
และต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้และความผันแปรของตัวแปรต่างๆที่เกี่ยวข้องด้วย
ระดับการตัดสินใจ ประกอบด้วย 4 ระดับ ได้แก่
1.การตัดสินใจระดับกลยุทธ์
(Strategic Decision Making) เป็นการตัดสินใจที่มีผลระยะยาว
โดยทั่วไปจะเป็นการตัดสินใจของผู้บริหาร
2.การตัดสินใจระดับการควบคุมการ
(Management Control Decision Making) เป็นการตัดสินใจที่มีผลต่อส่วนใดส่วนหนึ่งขององค์กร
ที่เป็นส่วนย่อยอยู่ภายใต้การตัดสินใจระดับกลยุทธ์
เป็นการตัดสินใจของผู้บริหารระดับกลาง เกี่ยวกับการวัดผลการทำงาน
3.การตัดสินใจระดับปฏิบัติการ
(Operational Control Decision Making) เป็นการตัดสินใจที่มีผลต่อการปฏิบัติงานและกิจกรรมต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน โดยทรัพยากรจะมีการกำหนดไว้เรียบร้อย
เป็นการตัดสินใจของผู้บริหารระดับล่าง
4.การตัดสินใจของผู้เชี่ยวชาญ
(Knowledge-level Decision Making) เป็นการตัดสินใจของผู้เชี่ยวชาญ
ที่เกี่ยวข้องกับการประเมินทางเลือกของสินค้าหรือบริการใหม่ การสื่อสารความรู้ใหม่
และวิธีการกระจายข้อมูลข่าวสารไปยังหน่วยทุกหน่วยขององค์กร
10. รูปแบบการตัดสินใจของผู้บริหารมีอะไรบ้างแต่ละรูปแบบแตกต่างกันอย่างไร
พร้อมยกตัวอย่างประกอบ
รูปแบบการตัดสินใจของผู้บริหาร
มีการตัดสินใจที่แตกต่างกันไปตามลักษณะของงานที่รับผิดชอบในแต่ละระดับของการบริหาร
แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ดังนี้
1.การตัดสินใจแบบมีโครงสร้าง
(Structure) เป็นการตัดสินใจที่ใช้หลักวินิจฉัยแบบที่มีหลักเกณฑ์หรือมีหลักการที่แน่นอนชัดเจน
เป็นกระบวนการที่มีการตัดสินใจและการกำหนดทางแก้ไขไว้ล่วงหน้า
เนื่องจากเป็นการตัดสินเกี่ยวกับปัญหาที่ทราบดีและมักเกิดขึ้นซ้ำๆ เป็นประจำ
โดยวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดจะถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนตามวัตตถุประสงค์ที่วางไว้
และมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดค่าใช้จ่ายต่ำที่สุดหรือให้เกิดกำไรสูงสุด เช่น
- การหาระดับสินค้าคงคลังที่เหมาะสม
- การจัดซื้อสินค้าในปริมาณที่ทำให้เกิดการประหยัด
- การเลือกลงทุนที่เหมาะสม
ตัวอย่างของการตัดสินใจแบบโครงสร้างที่ใช้กับงานด้านธุรกิจ
เช่น การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับสินค้าคงคลังว่าจะต้องสั่งของเข้าเท่าไหร่
จึงจะอยู่ในจุดที่คุ้มทุน และทำให้เกิดการประหยัดมากที่สุด
2.การตัดสินใจแบบกึ่งโครงสร้าง
(Semi structure) เป็นการตัดสินใจแบบผสมระหว่างแบบมีโครงสร้างและแบบไม่มีโครงสร้าง
คือบางส่วนสามารถตัดสินใจแบบมีโครงสร้างได้ แต่บางส่วนไม่สามารถทำได้
ปัญหาแบบกึ่งโครงสร้างนี้
จะใช้วิธีการแก้ปัญหาแบบมาตรฐานและพิจารณาโดยมนุษย์รวมเข้าไว้ด้วยกัน
จึงมีขั้นตอนในการแก้ปัญหาไม่ชัดเจนและซับซ้อนมากกว่าแบบมีโครงสร้าง
ปัญหาบางส่วนสามารถเขียนเป็นแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ได้
แต่ปัญหาบางส่วนไม่สามารถเขียนออกมาในรูปแบบของจำลองได้
สารสนเทศที่ใช้จะเป็นสารสนเทศที่มีโครงสร้างและเป็นรูปแบบรายงานที่ชัดเจน
มีข้อมูลแนวโน้มต่างๆที่มาจากแหล่งข้อมูลภายนอกองค์กร ตัวอย่างของการตัดสินใจแบบกึ่โครงสร้าง
เช่น การทำสัญญาทางการค้า การกำหนดงบประมาณทางการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์
การตัดสินใจให้เครดิตกับลูกค้า เป็นต้น
3.การตัดสินใจแบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured) เป็นการตัดสินใจที่ไม่มีหลักการหรือวิธีการที่แน่นอนที่สามารถนำมาใช้ในการตัดสินใจได้
อีกทั้งมีทางเลือกได้มากมายหลายทางเพื่อใช้แก้ปัญหาและตัวแปรที่เข้ามาเกี่ยวข้องในการตัดสินนั้นมีจำนวนมากและซับซ้อน
มีโอกาสผิดพลาด
หรือมีความเสี่ยงมากกว่าการตัดสินใจแบบที่มีโครงสร้างและแบบกึ่งโครงสร้าง
เป็นการตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหาที่มีรูปแบบไม่ชัดเจน
จึงต้องใช้สัญชาติญาณ ประสบการณ์ ความรู้และความชำนาญของผู้บริหารในการตัดสินใจ
สารสนเทศที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นสารสนเทศที่มาจากภายนอกองค์กร
เช่น ข้อมูลข่าวสารทางการเมมือง เศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศ
หรือแนวโน้มทางเทคโนโลยี เป็นต้น
ตัวอย่างของการตัดสินใจแบบไม่มีโครงสร้าง
เช่น การวางแผนการบริการใหม่ การว่าจ้างผู้บริหารใหม่เพิ่ม
ปัญหาพนักงานประท้วง หรือการเลือกกลุ่มของโครงงานวิจัยและพัฒนาเพื่อนำไปใช้ในปีหน้า
11.อธิบายกระบวนการตัดสินใจของ Simon ประกอบด้วยขั้นตอนอะไรบ้าง
Herbert A.Simon ให้ความหมายการตัดสินใจว่า เป็นการกำหนดขอบเขตของนโยบายทั้งหมด
และเป็นภารกิจที่แผ่กระจายไปทั่วการบริหารองค์การเช่นเดียวกับการปฏิบัติงาน แท้จริงแล้วการตัดสินใจมีความสำคัญเกี่ยวข้องกันกับทฤษฎีการบริหารโดยทั่วไป จะต้องรวมหลักการขององค์การเพื่อประกันความถูกต้องของการตัดสินใจ เป็นหลักการที่เที่ยงตรงประกันประสิทธิผลของการปฏิบัติงาน
กระบวนการตัดสินใจของ Herbert A.Simon
ได้แบ่งกระบวนการตัดสินใจออกเป็น 4 ขั้นตอน
ได้แก่
1.การกำหนดปัญหา
(Intelligence Phase) เป็นการรวบรวมข้อเท็จจริง ความเชื่อ
ความคิดและเหตุผลต่างๆ เพื่อใช้ในการตัดสินใจ ผู้บริหารจะต้องมองเห็นว่าเกิดปัญหาอะไรในองค์กร
ที่อาจจะเป็นต่อการดำเนินงานขององค์กรหรือการดำเนินธุรกิจ
ซึ่งหากรวบรวมข้อมูลได้ครบถ้วนมากเท่าใดก็สามารถนำไปกำหนด
ทางเลือกในการแก้ปัญหาที่ชัดเจนและแน่นอนได้มากขึ้นเท่านั้น
2.การออกแบบ (Design
Phase) เป็นการสร้าง
พัฒนาและวิเคราะห์ทางเลือกในการปฏิบัติที่เป็นไปได้
รวมทั้งการทดสอบและประเมินทางแก้ปัญหาที่เกิด
โดยการสร้างตัวแบบเพื่อการแปลงปัญหาให้อยู่ในรูปตัวแบบเชิงปริมาณ
หรือตัวแบบทางคณิตศาสตร์ เพื่ออธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทั้งหมด
การตั้งสมมติฐาน การกำหนดเงื่อนไขแบบต่างๆ และทำการทดสอบทางเลือกต่างๆ ที่มีความเป็นไปได้ในการนำมาแก้ไขปัญหา
3.การตัดสินใจเลือกทางเลือก
(Choice Phase) เป็นการตัดสินใจเลือกทางเลือกใดทางเลือกหนึ่งจากทางเลือกทั้งหมด
ที่ได้มีการพิจารณาข้อดี ข้อจำกัด ตามหลักเกณฑ์การเลือกที่กำหนดไว้
การตัดสินใจของผู้บริหารอาจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด
หรือทางเลือกที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในขณะนั้น เพื่อนะไปปฏิบัติ
ซึ่งขึ้นอยู่กับไหวพริบ ประสบการณ์ความเด็ดขาด ความกล้าได้กล้าเสีย
หรือวิสัยทัศน์ของผู้บริหารแต่ละคนด้วย
4.การนำไปปฏิบัติ
(Implementation Phase) เป็นขั้นตอนในการนำทางเลือกที่เลือกไว้มาปฏิบัติจริงเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
ผู้บริหารจะต้องกำหนดว่าจะเริ่มดำเนินเมื่อใดและดำเนินการอย่างไร
เมื่อนำไปปฏิบัติแล้วต้องมีการประเมินผลของทางเลือกที่นำมาใช้ในการแก้ปัญหา
และผลการปฏิบัติเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่
12.
อธิบายระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการแต่ละชนิด สนับสนุนประเภทการตัดสินใจ
และการตัดสินใจของผู้บริหารแต่ละระดับ อย่างไร
ประเภทของระบบสารสนเทศ
1. ระบบสารสนเทศประมวลผลธุรกรรม
(Transaction Processing Systems: TPS) เป็นระบบสารสนเทศแบบประมวลผลธุรกรรมทำหน้าที่รวบรวม
บันทึกข้อมูลในแฟ้มข้อมูล (File) หรือฐานข้อมูล(Database) และประมวลผลข้อมูลที่เกิดจากการทำธุรกรรมและการปฏิบัติงานประจำ
(Routine)ขององค์การเพื่อนำไปจัดทำระบบสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลนั้นๆ
ลักษณะการประมวลผลข้อมูลของ TPS แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
1.1การประมวลผลแบบกลุ่ม
(Batch Processing) เป็นการประมวลผลที่ข้อมูลจะถูกรวบรวมและสะสมไว้ระหว่างช่วงเวลาที่กำหนดแล้วจึงจะประมวลผลรวมกันเป็นครั้งเดียวการออกแบบลักษณะการประมวลผลแบบกลุ่มก็เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
และให้เกิดความเหมาะสมกับลักษณะของงาน
1.2 การประมวลผลแบบทันที
(Real-Time Processing) เป็นการประมวลผลแต่ละรายการและให้ผลลัพธ์ทันทีเมื่อมีการป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบการประมวลผลแบบทันทีถ้าเป็นการประมวลผลรายการแบบออนไลน์จะเรียกว่า
Online Transaction Processing หรือ OLTP เช่น
การจองตั๋วเครื่องบิน
2.ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
(Management Information System: MIS) เป็นระบบสารสนเทศที่โดยปกติแล้วจะประมวลผลและสรุปผลจากแฟ้มข้อมูลหรือฐานข้อมูล
ที่ได้จากTPSเพื่อจัดทำสารสนเทศตามความต้องการของผู้บริหารสำหรับนำไปใช้ในการวางแผน
ควบคุม กำกับดูแล สั่งการ และประกอบการตัดสินใจโดยสามารถจำแนกได้เป็น 4 ประเภทดังนี้
2.1 รายงานที่จัดทำตามระยะเวลาที่กำหนด
(Periodic Reports) เป็นรายงานที่จัดทำขึ้นตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าซึ่งอาจเป็นรายงานที่จัดทำขึ้นทุกวัน
ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน หรือทุกๆ ปี
2.2 รายงานสรุป (Summarized
Reports) เป็นรายงานที่จัดทำเพื่อสรุปการดำเนินงานโดยภาพรวม
โดยปกติจะแสดงผลในรูปของตารางสรุปจำนวนและกราฟเปรียบเทียบ
2.3 รายงานที่จัดทำตามเงื่อนไขเฉพาะ
(Exception Reports) เป็นรายงานที่จัดทำตามเงื่อนไขพิเศษไม่อยู่ในเกณฑ์การจัดทำรายงานตามปกติ
มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้บริหารได้ใช้สารสนเทศสำหรับการตัดสินใจอย่างทัน เวลา
2.4 รายงานที่จัดทำตามความต้องการ
(Demand Reports) เป็นรายงานที่มีลักษณะตรงข้ามกับรายงานที่จัดทำตามระยะเวลาที่กำหนด
ซึ่งรายงานจะกระทำตามเวลาอย่างสม่ำเสมอ ในขณะที่ Demand Reports จะจัดทำเมื่อผู้บริหารมีความต้องการในรายงานนั้นๆ
เท่านั้น
3.ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ
(Decision Support Systems: DSS) เป็นระบบสารสนเทศที่นำข้อมูลจากฐานข้อมูลต่างๆ
มาใช้ในการตัดสินใจ
และจะช่วยสนับสนุนการแก้ปัญหาและตัดสินใจเฉพาะกรณีตามที่ผู้บริหารต้องการ เป็นการเน้นการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพลักษณะสำคัญของDSSคือจะต้องเป็นระบบที่ให้สารสนเทศอย่างรวดเร็วต่อการตัดสินใจเพื่อใช้ในการแก้ปัญหาและกำหนดกลยุทธ์
ดังนั้นDSSจึงควรออกแบบในลักษณะที่โต้ตอบกับผู้ใช้เพื่อสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูล
4. ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูง
(Executive Support Systems: ESS) เป็นระบบสารสนเทศที่ช่วยสนับสนุนการวิเคราะห์ปัญหาศึกษาแนวโน้มและการวางแผนกลยุทธ์
ผู้บริหารสามารถเข้าถึงสารสนเทศโดยกำหนดมุมมองได้ในรูปแบบต่างๆจึงเป็นระบบที่มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวสูง
และรวดเร็วต่อการใช้งานได้ง่ายEISสามารถเข้าถึงสามาสนเทศจากฐานข้อมูลภายในและภายนอกองค์การและจะนำเสนอ
สารสนเทศที่ได้จากการวิเคราะห์ในรูปของรายงาน ตาราง และ กราฟ
เพื่อการสรุปสารสนเทศให้ผู้บริหารได้เข้าใจง่ายและประหยัดเวลา
5.ระบบสารสนเทศความรู้ (KWS) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าระบบงานสร้างความรู้
หรือ จัดการความรู้
เป็นระบบที่ช่วยสนับสนุนบุคลากรระดับวิชาชีพที่มีความรู้สูงและทักษะเฉพาะทาง (Knowledge
Workers) เช่น วิศวกร แพทย์ นักกฎหมาย ทนาย นักวิทยาศาสตร์
ที่ทำงานด้านการสร้างความรู้เพื่อพัฒนาการคิดค้นและใช้เป็นฐานรองรับการจัดการความรู้
(knowledge-based system) และอาจนำเทคโนโลยีระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial
Intelligence (AI) มาประยุกต์ใช้ ในการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ บริการใหม่
การจัดหมวดหมู่และบูรณาการความรู้ใหม่เข้าไปในองค์การ
เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในหน่วยงาน ซึ่งหน่วยงานจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาสนับสนุนให้การพัฒนาเกิดขึ้นได้โดยสะดวก
สามารถแข่งขันได้ทั้งในด้านเวลา คุณภาพ และราคา ระบบต้องอาศัยแบบจำลองที่สร้างขึ้น
ตลอดจนการทดลองการผลิตหรือดำเนินการ ก่อนที่จะนำเข้ามาดำเนินการจริงในธุรกิจ
ผลลัพธ์ของระบบนี้ มักอยู่ในรูปของ สิ่งประดิษฐ์ ตัวแบบ รูปแบบ เป็นต้น
6. ระบบสารสนเทศสำนักงาน
(Office Information Systems: OIS) เป็นระบบเกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์
และอุปกรณ์อัตโนมัติในสำนักงาน สำหรับช่วยงานต่างๆ
ในสำนักงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น งานพิมพ์เอกสารด้วยโปรแกรม Work
Processing งานจัดทำเอกสารและส่งทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ E-mail งานจัดหน้าเอกสารด้วยโปรแกรมการพิมพ์ตั้งโต๊ะ
เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น