ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ ( Decision Support System : DSS )
ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ
หรือ DSS
เป็นซอฟต์แวร์หรือตัวโปรแกรมที่ช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการ
การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล
และการสร้างตัวแบบที่ซับซ้อนภายใต้ซอฟต์แวร์เดียวกัน
เพื่อแก้ปัญหาที่มีความยุ่งยากซับซ้อน DSS ยังเป็นการประสานการทางานระหว่างบุคลากรกับเทคโนโลยีทางด้านซอฟต์แวร์
โดยเป็นการกระทาโต้ตอบกันเพื่อแก้ปัญหาแบบไม่มีโครงสร้าง
และอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ใช้ตั้งแต่เริ่มต้นถึงสิ้นสุดขั้นตอน
DSS
เป็นระบบที่ช่วยผู้บริหารในเรื่องการตัดสินใจโดยเฉพาะข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงไม่มีรูปแบบที่แน่นอน
มีความยืดหยุ่นในการทางาน และสามารถที่จะตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว
ระบบ DSS เป็นระบบที่สร้างขึ้นมาโดยคาดหวังว่าผู้ใช้โดยทั่วไป
สามารถเรียนรู้ได้และนำไปปฏิบัติได้
โดยไม่จาเป็นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญทางด้านคอมพิวเตอร์ เช่น
–
โปรแกรม โลตัส 1-2-3
–
MS- Excel, MS-Word
–
MS-PowerPoint
ส่วนประกอบของระบบสนับสนุนการตัดสินใจที่สำคัญ
แบ่งออกได้เป็น 4
ส่วน
1.ระบบย่อยในการจัดการข้อมูล (Data management subsystem) ได้แก่ฐานข้อมูลที่บรรจุข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์นั้นๆ
และถูกจัดการโดยซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า ระบบจัดการฐานข้อมูล (Database
Management Systems : DBMS)
2.ระบบย่อยในการจัดการตัวแบบ (Model management subsystem) เป็นชุดซอฟต์แวร์สำเร็จรูปที่รวมการทำงานเช่น การทำงานด้านการเงิน,
สถิติ, วิทยาการการจัดการ
หรือตัวแบบเชิงปริมาณอื่นๆ ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล
และมีซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการจัดการที่เหมาะสม เรียกว่า ระบบจัดการ ฐานตัวแบบ (Model
base management system : MBMS)
3.ระบบย่อยในการจัดการความรู้ (Knowledge management subsystem) เป็นระบบย่อยซึ่งสนับสนุนระบบย่อยอื่นๆ
หรือเป็นส่วนประกอบแบบอิสระไม่ขึ้นกับองค์ประกอบอื่นๆ ช่วยให้ข้อมูลหรือความรู้แก่
ผู้ตัดสินใจ
4.ระบบย่อยในการติดต่อกับผู้ใช้ (User interface subsystem) ผู้ใช้สามารถติดต่อสื่อสารและสั่งงานระบบสนับสนุนการตัดสินใจโดยผ่านระบบย่อยนี้
ระบบปัญญาประดิษฐ์(AI)
AI : Artificial Intelligence หรือปัญญาประดิษฐ์เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งของวิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์
ที่เกี่ยวข้องกับวิธีการทำให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถคล้ายมนุษย์หรือเลียน
แบบพฤติกรรมมนุษย์ โดยเฉพาะความสามารถในการคิดเองได้ หรือมีปัญญานั่นเอง
ปัญญานี้มนุษย์เป็นผู้สร้างให้คอมพิวเตอร์ จึงเรียกว่าปัญญาประดิษฐ์ มุมมองต่อ AI
ที่แต่ละคนมีอาจไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่า เราต้องการความฉลาดโดย
คำนึงถึงพฤติกรรมที่มีต่อสิ่งแวดล้อมหรือคำนึงการคิดได้ของผลผลิต AI ดังนั้นจึงมีคำนิยาม AI ตามความสามารถที่มนุษย์ต้องการ
ให้มันแบ่งได้ 4 กลุ่ม ดังนี้

Acting Humanly : การกระทำคล้าย
มนุษย์ เช่น
- สื่อสารกับ
มนุษย์ได้ด้วยภาษาที่มนุษย์ใช้ เช่น ภาษาอังกฤษ เป็นการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (natural language
processing) อย่าง หนึ่ง เช่น เพื่อน ๆ
ใช้เสียงสั่งให้คอมพิวเตอร์พิมพ์เอกสารให้
- มีประสาทรับสัมผัสคล้ายมนุษย์
เช่นคอมพิวเตอร์วิทัศน์ (computer
vision) คอมพิวเตอร์มองเห็น รับภาพได้โดยใช้อุปกรณ์รับสัญญาณภาพ (sensor)
- หุ่นยนต์ช่วยงานต่าง ๆ เช่น ดูดฝุ่น
เคลื่อนย้ายสิ่งของ
- machine learning หรือคอมพิวเตอร์เกิดการเรียนรู้ได้
โดยสามาถตรวจจับรูปแบบการเกิดของเหตุการณ์ใด ๆ แล้วปรับตัวสู่สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้
Thinking Humanly : การคิดคล้าย
มนุษย์ ก่อนที่จะทำให้เครื่องคิดอย่างมนุษย์ได้
ต้องรู้ก่อนว่ามนุษย์มีกระบวนการคิดอย่างไร
ซึ่งการวิเคราะห์ลักษณะการคิดของมนุษย์เป็นศาสตร์ด้าน cognitive science เช่น ศึกษาโครงสร้างสามมิติของเซลล์สมอง
การแลกเปลี่ยนประจุไฟฟ้าระหว่างเซลล์สมอง
วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงทางเคมีไฟฟ้าในร่างกายระหว่างการคิด
ซึ่งจนถึงปัจจุบันเราก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่า มนุษย์เรา คิดได้อย่างไร
Thinking rationally : คิดอย่างมี เหตุผล หรือคิดถูกต้อง โดยใช้หลักตรรกศาสตร์ในการคิดหาคำตอบอย่างมีเหตุผล
เช่น ระบบผู้เชี่ยวชาญ
Acting rationally : กระทำอย่างมีเหตุผล เช่น agent (agent เป็นโปรแกรมที่มีความสามารถในการกระทำ
หรือเป็นตัวแทนในระบบอัตโนมัติต่าง ๆ ) สามารถกระทำอย่างมีเหตุผลคือ agent ที่กระทำการเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ เช่น agent ใน
ระบบขับรถอัตโนมัติที่มีเป้าหมายว่าต้องไปถึงเป้าหมายในระยะทางที่สั้นที่ สุด
ต้องเลือกเส้นทางที่ไปยังเป้าหมายที่สั้นที่สุดที่เป็นไปได้จึงจะเรียกได้ ว่า agent
กระทำอย่างมีเหตุผล อีกตัวอย่างเช่น agent ใน
เกมหมากรุกมีเป้าหมายว่าต้องเอาชนะคู่ต่อสู้
ต้องเลือกเดินหมากที่จะทำให้คู่ต่อสู้แพ้ให้ได้ เป็นต้น
ระบบสนับสนุนการตัดสินใจแบบกลุ่ม GDSS (Group Decision Support Systems)
ระบบสนับสนุนการตัดสินใจแบบกลุ่ม GDSS (Group Decision Support Systems)
หมายถึง
ระบบที่มีการปฏิสัมพันธ์ด้วยคอมพิวเตอร์
ซึ่งจะอำนวยความสะดวกให้กลุ่มคนในเรื่องการตัดสินใจแก้ปัญหาที่ไม่มีโครงสร้าง
ดังนั้นองค์ประกอบของระบบสนับสนุนการตัดสินใจแบบกลุ่ม จึงต้องประกอบด้วย ซอฟต์แวร์
ฮารด์แวร์ ผู้ใช้ และกระบวนการที่ใช้สนับสนุนการดำเนินการประชุม
จนสามารถทำให้การประชุมเป็นไปได้ด้วยดี
ลักษณะของระบบสนับสนุนการตัดสินใจแบบกลุ่ม
1.
เป็นระบบสารสนเทศที่ถูกออกแบบ และสร้างขึ้นโดยเฉพาะ
2.
ออกแบบขึ้นมาเพื่อปรับปรุงกระบวนการตัดสินใจขององค์ประชุม
3.
ง่ายต่อการเรียนรู้ และใช้งานได้สะดวก และให้ความหลากหลายกับผู้ใช้ในแต่ละระดับ
4.
มีกลไกที่ให้ผลในเรื่องของการปรับปรุงจุดบกพร่องที่เกิดจากพฤติกรรมของผู้เข้าร่วมประชุม
เช่น การทำให้ผู้เข้าร่วมประชุมเข้าใจในความหมายต่าง ๆ ตรงกัน
5.
ต้องออกแบบให้ระบบสามารถกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น
กระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ แนวความคิดที่แตกต่าง และ การมีอิสระทางความคิด
เป็นต้น
องค์ประกอบของระบบสนับสนุนการตัดสินใจแบบกลุ่ม
- ฮาร์ดแวร์ (Hardware)
- ซอฟต์แวร์ (Software)
- ผู้ใช้ (User)
- กระบวนการ (Procedure)
กรุ๊ปแวร์
(Groupware)
คือ โปรแกรมที่สนับสนุนการทำงานเป็นกลุ่มหรือทีมและ
มักเป็นเครื่องมือในการประสานงานระหว่างการทํางานที่ทําให้ผู้ใช้หลายคนสามารถใช้สารสนเทศ
ร่วมกันกับผู้อื่นและทํางานร่วมกันในหลาย ๆ โครงการ โดยมีผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกัน
โปรแกรมการจัดการการติดต่อบนเครือข่ายสําเร็จรูปและไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ไปจนถึงโปรแกรมการใช้
เอกสารร่วมกัน
สามารถแบ่งออกเป็น
3 ประเภทขึ้นอยู่กับระดับของความร่วมมือกัน
1.การติดต่อสื่อสาร
เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารแบบไม่มีโครงสร้าง ตัวอย่างเช่น
การพูดคุยกันทางโทรศัพท์ หรือการใช้ระบบส่งข้อความพูดคุยกัน.
2. การประชุม (หรือ
ระดับของความร่วมมือ,
ได้ถูกอธิบายในเอกสารทางวิชาการไว้ว่าเป็นระดับของการปรึกษาหารือร่วมกัน)
เป็นการทำงานเชิงโต้ตอบกันเพื่อที่จะนำไปสู่เป้าหมายร่วมกัน ด้วยการระดมสมอง
หรือการลงความคิดเห็น.
3. การประสานงาน
เป็นการทำงานร่วมกันที่มีความซับซ้อนเพื่อที่จะนำไปสู่เป้าหมายร่วมกัน เปรียบเสมือนความเข้าใจกันในทีมกีฬา
ที่ทุกคนในทีมมีส่วนร่วมในการปฏิบัติตามหน้าที่ของตนในเวลาที่เหมาะสม
เหมือนกับการปรับแผนการเล่นตามสถานการณ์
ซึ่งแต่ละคนทำหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไปเพื่อทำให้ทีมชนะ
นี้คือการทำงานร่วมกันที่มีความซับซ้อนเพื่อนำไปสู่เป้าหมายร่วมกัน
หรือที่เรียกว่าการบริหารจัดการความร่วมมือกัน
ตัวอย่างของกรุ๊ปแวร์
Lotus Notes

- เปรียบเสมือนเป็นต้นกำเนิดของกรุ๊ปแวร์
เพราะเป็นโปรแกรมที่สามารถประยุกต์
ใช้กับกิจกรรมการจัดการความรู้ได้หลายกิจกรรม
- อำนวยความสะดวกในการเก็บ
และจัดการกับข้อมูลตัวอักษร และรูปภาพจำนวนมาก ๆ
- มี Computer
Bulletin Board ที่สนับสนุน ที่สนับสนุนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
- มีระบบจัดระเบียบการหารือสนทนาระหว่างทีมงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเป็นกลุ่ม
- อำนวยความสะดวกในการจัดการกับเอกสาร
(work – flow automation) มีประสิทธิภาพสูงในการจัดการกับข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยจะจัดการสำเนาข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไปเก็บไว้ที่
เครื่องแม่ข่าย (server) ที่เกี่ยวข้องทุกตัวให้โดยอัตโนมัติ
ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหารระดับสูง (Executive Information System: EIS)
ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร
(Executive
Information Systems) หรือที่เรียกว่า EIS หมายถึง
ระบบสารสนเทศที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการ ทักษะ
และความสามารถในการเข้าถึงสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร
เนื่องจากผู้บริหารเป็นกลุ่มบุคคลที่ต้องการข้อมูลที่มีลักษณะเฉพาะ
โดยเฉพาะด้านระยะเวลาในการเข้าถึงและทำความเข้าใจกับข้อมูล
โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันทางธุรกิจที่เกิดขึ้นและปรับตัวอย่างรวดเร็วในปัจจุบันได้สร้างแรงกดดันให้ผู้บริหารต้องตัดสินใจภายใต้ข้อจำกัดของทรัพยากรทางการจัดการ
ระยะเวลา ข้อมูล และการดำเนินงานของคู่แข่งขัน นอกจากนี้ผู้บริหารหลายคนยังมีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี
สารสนเทศที่จำกัด
โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูงที่มีอายุมากและไม่มีโอกาสได้พัฒนาความรู้ ความเข้าใจ
และทักษะด้านการใช้งานสารสนเทศ
ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาและออกแบบระบบสารสนเทศที่สามารถช่วยให้ผู้บริหารปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ระบบข้อมูลสำหรับผู้บริหารต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
คุณสมบัติของระบบ EIS
– มีการใช้งานบ่อย
– ไม่ต้องมีทักษะทางคอมพิวเตอร์สูง
– ความยืดหยุ่นสูงสามารถเข้ากันได้กับรูปแบบการทำงานของผู้บริหาร
– การใช้งานใช้ในการตรวจสอบ
ควบคุม
– การสนับสนุนการตัดสินใจไม่มีโครงสร้างแน่นอน
– ผลลัพธ์ที่แสดงจะเป็นตัวอักษร
ตาราง ภาพและเสียง รวมทั้งระบบมัลติมีเดีย
– การใช้งานภาพกราฟิกสูง
จะใช้รูปแบบการนำเสนอต่างๆ
– ความเร็วในการตอบสนองรวดเร็วทันทีทันใด
ความสามารถทั่วไปของ
EIS
– การเข้าถึงดาต้าแวร์เฮาต์
(Data Warehouse) ซึ่งเป็นการรวบรวมข้อมูลสำหรับการตัดสินใจ
ประกอบด้วยฐานข้อมูลจากงานในระดับปฏิบัติการ เช่น วัสดุคงคลัง และฐานข้อมูลภายนอก
เช่น ลักษณะของประชากร
– การใช้ความสามารถในการเจาะข้อมูล
(Drill down) กล่าวคือ EIS จะประกอบด้วยการสรุปสารสนเทศเพื่อให้ผู้บริหารสามารถเจาลึกเพื่อกาสารสนเทศในรายละเอียดอีกครั้ง
ดังนั้นการเจาะข้อมูลหมายถึง ความสามารถในการให้รายละเอียดของสารสนเทศ เช่น
หากผู้บริหารสังเกตเห็นการลดลงของยอดขายในรายงานประจำสัปดาห์ผู้บริหารอาจต้องดูรายละเอียดของยอดขายในแต่ละภาคเพื่อต้องการหาเหตุผล
ถ้าข้อมูลแสดงว่าภาคใดภาคหนึ่ง มีปัญหา
ผู้บริหารอาจจะเจาะลงในรายละเอียดของการขายสินค้าแต่ละผลิตภัณฑ์
หรือยอดขายของพนักงานขายแต่ละคนก็ได้
การเจาะลึกของข้อมูลอาจทำได้ต่อเนื่องกันหลายระดับของข้อมูล
การเจาะลึกดังกล่าวผู้บริหารสามารถทำไดเองโดยไม่จำเป็นองปรึกษากับโปรแกรมเมอร์แต่อย่างใด
– การนำเสนอข้อมูลในลักษณะที่มีความยืดหยุ่น
ระบบ EIS จะมีการรายงานซึ่งมีความยืดหยุ่นกว่าระบบ MRS
มาก กล่าวคือ ระบบ MRS จะมีการกำหนดสารสนเทศไว้ล่วงหน้า
แต่ EIS จะเริ่มจากสิ่งที่ไม่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า
และยังมีรูปแบบรายงานต่างๆ ให้ผู้บริหารได้เลือกอีก (แนวคิดเดียวกับแบบ drill
down) ซึ่งช่วยให้ผู้บริหารสามารถ ได้ทราบสารสนเทศในเชิงลึกมากขึ้น
และบางครั้งถึงกับออกแบบในลักษณะกราฟฟิคเอาไว้ด้วย
ลักษณะการนำเสนอในแบบนี้เป็นข้อแตกต่างของ MRS และ EIS
– การเข้าถึงสารสนเทศที่หลากหลาย
ระบบ EIS ช่วยให้ผู้บริหารสามารถเข้าถึง
สารสนเทศได้ทุกประเภท
ทั้งสารสนเทศจากภายในหน่วยงานและภายนอกหน่วยงานซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมขององค์การด้วย
– การใช้โมเดลในการวิเคราะห์แนวโน้ม
(Trend analysis) การวิเคราะห์ข้อมูลอาจจำเป็นต้องทราบแนวโน้มในอนาคต
โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในข้อมูล
การวิเคราะห์แนวโน้มจะทำได้โดยใช้โมเดลการพยากรณ์ การวิเคราะห์แนวโน้ม เช่น
ยอดขายจะมีการเพิ่มขึ้นหรือไม่ ส่วนแบ่งการตลาดจะลดลงหรือไม่
หน้าที่ของ EIS
1.
ช่วยในการวางแผนกลยุทธ์ โดยประเมินและทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆ
ได้อย่างรวดเร็วและนำสารสนเทศที่ถูกต้องเป็นปัจจุบันมีความรวดเร็วและช่วยในการพิจารณาสถานการณ์ทั้งภายในและภายนอก
รวมทั้งทดสอบว่ากลยุทธ์ที่กำหนด ได้ผลหรือไม่ (Stair & Reynolds, 1999)
2.
ช่วยในการควบคุมเชิงกลยุทธ์ (Strategic control) ซึ่งเกี่ยวกับการติดตาม
และการจัดการการปฏิบัติขององค์การโดยการสร้างกระบวนการทำงานที่มีประสิทธิผลโดยการระบุปัจจัยต่างๆ
ที่เกี่ยวข้อง เช่น ปัญหา โอกาส หรือการเปลี่ยนแปลง
เพื่อที่จะช่วยให้กระบวนการทำงานลื่นไหลไปได้ด้วยดี (Stair & Reynolds,
1999)
3.
การสร้างเครือข่าย (Networks)
เครือข่ายในที่นี้ หมายถึงบุคคลต่างๆ
ทำงานร่วมกันในการบรรลุจุดมุ่งหมาย
เครือข่ายนี้จะช่วยทำให้สารสนเทศที่เกี่ยวกับความคิดเห็นข้อสังเกต
ข้อมูลหรือการเตือนภัยล่วงหน้าไหลติดต่อระหว่างสมาชิกในเครือข่าย
4.
ช่วยในการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ระบบยังสามารถให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคู่แข่งทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศรวมทั้งสามารถในการจัดหาสินค้าของซัพพลายเออร์
5.
ช่วยในการจัดการกับวิกฤต (Crisis
management) แม้ว่าหน่วยงานจะมีการวางแผนกลยุทธ์ดีเพียงไร
แต่บางครั้งวิกฤตที่ไม่คาดคิดอาจเกิดขึ้นได้
การจัดการวิกฤตเป็นหน้าที่ของผู้บริหารโดยตรง (Stair & Reynolds, 1999)
ข้อดีของระบบ EIS
1.
ง่ายต่อผู้บริหารระดับสูงในการใช้งาน
2.
การใช้งานไม่จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์
3.
ให้สารสนเทศสรุปของบริษัทในเวลาที่ต้องการ
4.
ทำให้สามารถเข้าในสารสนเทศได้ดีขึ้น
5.
มีการกรองข้อมูลให้ประหยัดเวลา
6.
ทำให้ระบบสามารติดตามสารสนเทศได้ดีขึ้น
ข้อด้อยของระบบ EIS
1.
มีข้อจำกัดในการใช้งาน
2.
อาจทำให้ผู้บริหารจำนวนมากรู้สึกว่าได้รับข้อมูลมากเกินไป
3.
ยากต่อการประเมินผลประโยชน์ที่ได้จากระบบ
4.
ไม่สามารถทำการคำนวณที่ซับซ้อนได้
5.
ระบบอาจนะใหญ่เกินกว่าที่จะจัดการได้
6.
ยากต่อการรักษาข้อมูลให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา
7.
ก่อให้เกิดปัญหาการรักษาความลับของข้อมูล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น