วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2561

แบบฝึกหัดบทที่ 6



    
ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ และ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
            E-Business
            ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Business เขียนแบบย่อ E-Business) คือ กระบวนการหรือขั้นตอนในการดำเนินธุรกิจ โดยอาศัยเทคโนโลยีเครือข่ายที่เรียกว่าว่าองค์กรเครือข่ายร่วม ในการดำเนินงานเพื่อให้เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำธุรกิจมากยิ่งขึ้น เทคโนโลยีนี้จะใช้การติดต่อสื่อสารระหว่างกันผ่านช่องทางโครงข่ายโทรคมนาคมจุดมุ่งหมายในการทำธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ นั้นคือ เพื่อสร้างคุณค่าทางธุรกิจมากขึ้นและลดต้นทุนการทำธุรกิจโดยการอาศัยแรงงานคนที่น้อยในการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ช่วยให้องค์กรภายนอกและภายในมีการดำเนินงานได้ง่ายมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม E- Business อาจไม่จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตหรือเว็บเสมอไป เพียงแต่กระแสความนิยมของอินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทต่อวิถีชีวิตของมนุษย์มากยิ่งขึ้น จึงทำให้องค์กรต่างๆ นำ E- Business มาใช้ในช่องทางในการขยายขอบเขตของการดำเนินธุรกิจกันมากยิ่งขึ้น

ประโยชน์ของธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์
             · เพิ่มความสะดวกสบายและความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า เช่น ลูกค้าสามารถรับรู้ว่าสินค้าอยู่ตรงไหน รับรู้ข้อมูลของตัวสินค้าการจัดจำหน่าย โดยที่สามารถรับรู้ได้โดยทันทีไม่ต้องเสียเวลากับการรอคอยหรือไปดูสินค้าจริงๆ
               · เพี่มความรวดเร็วและถูกต้องในการดำเนินงานธุรกิจเช่น มีการรับส่งสินค้ารวดเร็ว ลูกค้าสามารถตรวจสอบได้เลยว่าสินค้าอยู่ตรงไหน ถึงไปยังปลายทางเมื่อไหร่ ซึ่งไม่ต้องเสียเวลาในการค้นหาด้วยวิธีอื่นๆ
          ·เพิ่มความรวดเร็วและถูกต้องในการทำงานขององค์กร เช่น การทำธุรกิจผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ช่วยให้การทำงานขององค์กรมีความรวดเร็วในการทำงานมากยิ่งขึ้น ลดระยะเวลาจัดเก็บเอกสารในรูปแบบกระดาษและการใช้อิเล็กทรอนิกส์มาจัดการกับธุรกิจทำให้การทำงานของคนในองค์กรมีความถูกต้องในการจัดการเอกสารมากยิ่งขึ้น
           ·ลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ เช่น การลดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสาร ลดค่าใช้จ่ายของสำนักงาน อาทิเช่น กระดาษ จดหมาย เป็นต้น
          ·เพิ่มช่องทางในการขยายตลาด เช่น การเปิดร้านค้าออนไลน์ ซึ่งสามารถให้บริการกับลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง สามารถขายสินค้าได้อย่างกว้างขวางและทั่วถึงมากยิ่งขึ้น

     โครงสร้างของธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์แบ่งออกมาเป็น 3 ส่วน ดังนี้
           1. กิจกรรมส่วนหน้า (Front office) เป็นกิจกรรมที่พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง ซึ่งหมายถึง ส่วนของการซื้อ - ขาย หรือส่วนที่ติดต่อกับลูกค้าโดยตรง ลูกค้าในที่นี้อาจจะหมายถึงผู้บริโภค ผู้นำเข้า หรือองค์กรธุรกิจ
           2. กิจกรรมส่วนหลัง (Intra - back office) หมายถึงกิจกรรมธุรกิจที่เกิดต่อเนื่องจากส่วนแรก เพื่อนำข้อมูลจากการสั่งซื้อของลูกค้ามาประมวลผลภายในองค์กรได้แก่ การตรวจสอบสินค้าคงคลัง การเบิกสินค้า การสั่งบรรจุหีบห่อ การสั่งผลิต การออกใบเสร็จรับเงิน การบันทึกบัญชี และรวมถึงการส่งมอบสินค้า
          3. กิจกรรมกับองค์กรภายนอก (Extra - back office) หมายถึงกิจกรรมที่ต่อเนื่องจากกิจกรรมส่วนหลัง เพื่อทำธุรกิจติดต่อกับองค์กรภายนอก เช่น ผู้ขายวัตถุดิบ บริษัทขนส่ง ทั้งนี้โดยการติดต่อผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เป็นระบบเครือข่ายสาธารณะ หรือระบบเครือข่ายเฉพาะกลุ่มซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่าก็ได้

E-Commerce
การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic commerce) หรือ อีคอมเมิร์ซ (e-Commerce)  หรือ พาณิชยกรรมออนไลน์ หมายถึง การทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในทุกๆ ช่องทางที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ อินเทอร์เน็ต และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สามารถกระทำผ่าน โทรศัพท์เคลื่อนที่ การโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์ การจัดการห่วงโซ่อุปทาน การโฆษณาในอินเทอร์เน็ต แม้กระทั่งซื้อขายออนไลน์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มค่าใช้จ่าย และเพื่มประสิทธิภาพขององค์กร โดยการลดบทบาทของความสำคัญขององค์ประกอบทางธุรกิจลง เช่น ทำเลที่ตั้ง อาคารประกอบการ โกดังเก็บสินค้า ห้องแสดงสินค้า รวมถึงพนักงานขาย พนักงานแนะนำสินค้า พนักงานต้อนรับลูกค้าเป็นต้น ดังนั้นจึงลดข้อจำกัดของระยะทางและเวลา ในการทำธุรกรรมลงได้
ประโยชน์ของ E-Commerce
1. ต่อบุคคล
มีสินค้าและบริการราคาถูกจำหน่าย
ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น สามารถทำธุรกรรมได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ทราบข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการได้ในเวลาที่รวดเร็ว
ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าตรงตามความต้องการมากที่สุด
สนับสนุนการประมูลเสมือนจริง
ทำให้ลูกค้าสามารถติดต่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับลูกค้ารายอื่นได้
ทำให้เกิดการเชื่อมโยงการดำเนินงานภายในโซ่มูลค่า (Value Chain Integration)
2. ต่อองค์กรธุรกิจ
ขยายตลาดในระดับประเทศและระดับโลก
ทำให้บริการลูกค้าได้จำนวนมากทั่วโลกด้วยต้นทุนที่ต่ำ
 - ลดปริมาณเอกสารเกี่ยวกับการสร้าง การประมวล การกระจายการเก็บและการดึงข้อมูลได้ถึงร้อยละ 90
ลดต้นทุนการสื่อสารโทรคมนาคม เพราะ อินเทอร์เน็ตราคาถูกกว่าโทรศัพท์
ช่วยให้บริษัทขนาดเล็กสามารถแข่งขันกับบริษัทขนาดใหญ่ได้
ทำให้การจัดการผลิตมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
          3. ต่อสังคม
ทำให้คนสามารถทำงานที่บ้านได้ ทำให้มีการเดินทางน้อยลง ทำให้การจราจรไม่ติดขัด ลดปัญหามลพิษทางอากาศ
ทำให้มีการซื้อขายสินค้าราคาถูกลง คนที่มีฐานะไม่รวยก็สามารถยกระดับมาตรฐานการขายสินค้าและบริการได้
           4. ต่อระบบเศรษฐกิจ
กิจการ SMEs ในประเทศกำลังพัฒนา อาจได้ประโยชน์จากการเข้าถึงตลาดที่กว้างขวางในระดับโลก
ทำให้กิจการในประเทศกำลังพัฒนาสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้บทบาทของพ่อค้าคนกลางลดลง ทำให้ต้นทุนซื้อขายลดลง ทำให้อุปสรรคการเข้าสู่ตลาดลดลงด้วย
ทำให้ประชาชนในชนบทได้หาสินค้าหรือบริการได้เช่นเดียวกับในเมือง
เพิ่มความเข้มข้นของการแข่งขัน ทำให้เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค


 กรอบการทำงานและโครงสร้างพื้นฐานของการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ กรอบการทำงาน e commerce

E-Commerce Framework ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่
1. การประยุกต์ใช้ E-Commerce Application
            - การค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์ E-Retailing
            - การโฆษณาอิเล็กทรอนิกส์ E-Advertisement
            - การประมูลอิเล็กทรอนิกส์ E-Auctions
            - การบริการอิเล็กทรอนิกส์ E-Service
            - รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ E-Government

            - การพาณิชย์ผ่านระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ M-Commerce : Mobile Commerce
2. โครงสร้างพื้นฐาน E-Commerce Infrastructure
            องค์ประกอบหลักสำคัญด้านเทคโนโลยีพื้นฐาน ที่จะนำมาใช้เพื่อการพัฒนาระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่
1.ระบบเครือข่าย Network System
2. ช่องทางการติดต่อสื่อสาร  Communication Channel
3. การจัดรูปแบบและการเผยแพร่เนื้อหา Format and Content Publishing
4.  การรักษาความปลอดภัย Security
3. การสนับสนุน E-Commerce Supporting
            ส่วนของการสนับสนุน  จะทำหน้าที่ช่วยเหลือและสนับสนุนส่วนของการประยุกต์ใช้งานให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ  เปรียบเสมือนเสาหลักของบ้าน  ที่ทำหน้าที่ค้ำจุนให้หลังคาบ้าน อย่างไรก็ตามเสาบ้านก็ต้องอาศัยพื้นบ้านในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานเพื่อที่จะยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคงต่อไป  สำหรับส่วนสนับสนุนของ E-Commerce มีองค์ประกอบ 5 ส่วน ดังนี้
1.การพัฒนาระบบงาน E-Commerce Application Development
2.การวางแผนกลยุทธ์ E-Commerce Strategy
3.กฎหมายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ E-Commerce Law
4.การจดทะเบียนโดเมนเนม Domain Name Registration
            5.การโปรโมทเว็บไซต์ Website Promotion 
ปัจจัยที่ทำให้ E-Commerce ประสบความสำเร็จการนำ E-commerce  ไปใช้ในธุรกิจจำเป็นต้องมีสารสนเทศที่ถูกต้อง  มีโครงสร้างพื้นฐาน  และมีระบบสนับสนุน  ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จมี อย่างดังนี้
                ·    คน (People) หมายถึง ผู้ขาย  ผู้ซื้อ  คนกลาง  พนักงาน IT  และอื่น ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง 
           ·   นโยบายสาธารณชน  หมายถึง กฎหมาย ภาษี และนโยบายหลักๆ ที่สำคัญ เช่น  สิทธิส่วนบุคคล  ที่ถูกกำหนดด้วยรัฐบาล  ในที่นี้นโยบายจะรวมถึงมาตรฐานด้านเทคนิค และ โปรโตคอล(Protocol)
        · การตลาด และการโฆษณาประชาสัมพันธ์   เว็บไซต์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อใช้ติดต่อกับลูกค้า  และทำธุรกิจค้าขาย  รวมถึงการมองหาตลาดแหล่งใหม่ ๆ  และกลยุทธ์ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์
             · พันธมิตรธุรกิจ  E-commerce  ถูกนำมาใช้ในการบริหาร Supply Chain  หรือ ระหว่างคู่ค้า และพันธมิตรทางการค้า
               · บริการสนับสนุนอื่น  สิ่งสำคัญ คือการวิจัยตลาด   การสร้างเนื้อหา  และการบริการอื่น ๆ  เพิ่มเติม  ไม่ว่าจะเป็น ระบบการชำระ  การขนส่ง  เทคโนโลยีสารสนเทศ และระบบรักษาความปลอดภัย
             4. การจัดการ E-Commerce Management 
              แบบจำลองทางธุรกิจ Business Model

             รูปแบบการทำธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
                          การแบ่งรูปแบบการทำธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ออกเป็น 3 มิติ ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ (Product) กระบวนการ (Process) และตัวแทนการส่งมอบสินค้า (agent) อาจแบ่งรูปแบบการทำธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ออกเป็น 2 ลักษณะดังนี้
1.Pure E-commerce  คือ  การทำธุรกรรม E-commerce ในรูปแบบดิจิตอล Digital ทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนที่เริ่มจาก 
-          การสั่งซื้อสินค้า  หรือ บริการ  
-          กระบวนการชำระเงิน
-          การส่งมอบ 
ตัวอย่างเช่น การซื้อขาย โปรแกรม เพลง หรือ เกมส์  ผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยบัตรเครดิต
2.Partial E-commerce คือ  การทำธุรกรรม E-commerce ที่บางขั้นตอนยังอยู่ในรูปแบบกายภาพ(Physical)    เช่น การสั่งซื้อตำรา  ต้องมีการขนส่งผ่านระบบขนส่งปกติทั่วไป  หรือ การชำระเงินโดยใช้วิธีโอนผ่านธนาคาร หรือ ATM  เป็นต้น

โมเดลธุรกิจ EC มี 3 แบบ ได้แก่
1. Brick-and-mortar คือ องค์กรที่มีผลิตภัณฑ์ กระบวนการ และ การจัดส่ง ผลิตภัณฑ์ อยู่ในรูปของกายภาพทั้งหมด เช่น ร้านขายหนังสือ มีหนังสือเป็นเล่มที่สามารถจับต้องได้ การซื้อขายก็เป็นกายภาพ  การจัดส่งก็เป็นแบบ กายภาพ จะเห็นว่าทุกมิติเป็นกายภาพทั้งสิ้น อย่างนี้ เราเรียกองค์กรแบบนี้ว่าเป็น Purely Physical และ เรียกองค์กรนี้ว่าPurely Physical Organization หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Brick-and-Mortar Organization ซึ่งในปัจจุบันนี้ องค์กรประเภท Brick-and-Mortar กำลังปรับเปลี่ยนรูปแบบ ไปเป็นClick-and-Mortar โดยการเพิ่มในส่วนของการสั่งซื้อสินค้า online เข้าไป เช่น ร้านซีเอ็ดบุ๊ตเซ็นเตอร์  2.  Click-and-Mortar  คือ องค์กรที่ผลิตภัณฑ์ กระบวนการ และ ตัวแทนจำหน่าย มีการผสมผสาน ทั้งแบบกายภาพหรือดิจิตอล เข้าด้วยกัน (Physical or digital) เช่น ร้านดอกไม้ Miss Lily ที่มีการสั่งซื้อเป็นแบบ Online ตัวสินค้าและการจัดส่งเป็นทางกายภาพ
3. Click-and-Click องค์กรเสมือน (Virtual organization) คือ องค์กรที่มี ผลิตภัณฑ์ กระบวนการ และ ตัวแทนจำหน่าย เป็นดิจิตอลทั้งหมด บางทีเรียกว่าpure – play organization เป็นการทำธุรกิจแบบ online ล้วน ๆ ไม่มีออฟฟิศหรือ Storeให้เดินเข้าไปซื้อของเช่น  ซื้อ E-book จากAmazon หรือ ซื้อ software จาก Buy.comc

ประเภทของการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ แบ่งออกเป็น
1. กลุ่มธุรกิจที่ค้ากำไร Profit Organization
- Business – to – Business (B2B)  คือรูปแบบการซื้อขาย สินค้าระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ เป็นการซื้อขายทีละปริมาณมากๆ          มีมูลค่าการซื้อขาย  แต่ละครั้งเป็นจำนวนมาก เป็นการค้าส่ง เช่น ผู้ผลิตขายส่งให้กับพ่อค้าคนกลางเป็นธุรกิจนำเข้า - ส่งออก ชำระเงินผ่านระบบธนาคารด้วยการเปิด L/C หรือในรูปของ Bill of Exchangeอื่นๆ
- Business – to – Customer (B2C) คือรูปแบบการจำหน่ายสินค้าโดยตรงจากผู้ค้ากับผู้บริโภคโดยตรง เป็นการค้าปลีก
-Business – to – Business – to – Customer (B2B2C) หมายถึง การเชื่อมต่อ B2B และ B2C เข้าด้วยกัน นั่นก็คือ เป็นรูปแบบการดำเนินธุรกรรมที่ธุรกิจได้ขายช่วงต่อไปยังภาคธุรกิจด้วยกัน ซึ่งอาจเป็นบริษัทในเครือหรือกลุ่มธุรกิจเดียวกันแต่ในด้านการส่งมอบสินค้าหรือบริการ ก็ยังคงส่งมอบไปยังผู้บริโภคโดยตรงในแต่ละราย หรือองค์กรธุรกิจขายให้องค์กรธุรกิจด้วยกัน แต่องค์กรจะจัดส่งสินค้าให้ลูกค้าอีกทีหนึ่ง
- Customer – to – Customer (C2C) เป็นรูปแบบการซื้อขาย สินค้าระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภค เช่นการประกาศขายสินค้าใช้แล้ว
-Customer – to – Business (C2B) หมายถึง เป็นการดำเนินธุรกรรมระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบการในอีกรูปแบบหนึ่งที่ผู้บริโภคกลับมีสถานะเป็นผู้ค้าและมีบทบาทในการต่อรองเพื่อตั้งราคาสินค้า จากนั้นผู้ประกอบการก็จะนำราคาที่ลูกค้าเสนอมาให้กับผู้ขายปัจจัยการผลิตพิจารณาว่าสามารถจำหน่ายหรือขายได้ในราคานี้หรือไม่ หรือการที่ลูกค้าสามารถระบุตัวสินค้าหรือบริการเฉพาะเจาะจงลงไป แล้วองค์กรเป็นตัวจัดหาสินค้าหรือบริการให้ลูกค้า
- Mobile Commerce หรือ M-Commerce หมายถึง การดำเนินกิจกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมหรือการเงิน โดยผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือการค้าขายตามระบบแนวความคิดของระบบการค้าอิเล็กทรอนิกส์E-Commerce ที่ใช้อุปกรณ์พกพาไร้สายเป็นเครื่องมือในการสั่งซื้อและขายสินค้าต่างๆ ทั้งการสั่งซื้อสินค้าที่เป็นรูปธรรมหรือนามธรรม รวมทั้งการรับ-ส่งอีเมล์ หรือการทำธุรกรรมเชิงพาณิชย์ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งมีความสะดวกสบาย ไม่มีข้อจำกัดในการจับจ่าย 
2. กลุ่มธุรกิจที่ไม่ค้ากำไร Non-Profit Organization
- Intrabusiness (Organization) E-Commerce อีคอมเมิร์ซภายในองค์กรหรือแบบอินทราออร์ก (Intra-Org E-commerce) คือ การใช้อีคอมเมิร์ซในการช่วยให้บริษัทหรือองค์ใดองค์กรหนึ่งสามารถปรับปรุงการทำงานภายในและให้บริการลูกค้าได้ดีขึ้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้
-การติดต่อสื่อสารภายในองค์กรจะสะดวกรวดเร็วจะได้ผลดีขึ้น โดยใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ วีดีโอคอนเฟอเรนซ์ และป้ายประกาศ เป็นต้น
            -การจัดพิมพ์เอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ หรืออีพับลิซซิง (Electronic Publishing) ช่วยให้บริษัทสามารถออกแบบเอกสาร จัดพิมพ์เอกสาร และแจกจ่ายเอกสารได้สะดวกรวดเร็ว และใช้ค่าใช้จ่ายน้อย ไม่ว่าจะเป็นคู่มือข้อกำหนดสินค้า (Product Specifications) รายงานการประชุม เป็นต้น ทั้งนี้โดยผ่านเว็บ
-การปรับปรุงประสิทธิภาพพนักงานขาย การใช้อีคอมเมิร์ซแบบนี้ช่วยปรับปรุงการสื่อสารระหว่างฝ่ายผลิตกับฝ่ายขาย และระหว่างฝ่ายขายกับลูกค้า ทำให้ได้ประสิทธิภาพดีขึ้น
-Business – to – Employee (B2E) การทำธุรกรรมระหว่างธุรกิจกับพนักงาน (Business-To-Employee–B2E) มุ่งเน้นการให้บริการแก่พนักงานในด้านต่าง ๆ เช่น ข้อมูลของสินค้าและบริการ กิจกรรมต่าง ๆ ระหว่างผู้ประกอบการ องค์กร กับพนักงาน โดยอาศัยระบบเครือข่าย
-Government – to – Citizen (G2C) การทำธุรกรรมระหว่างองค์กรของรัฐกับประชาชน (Government-To-Citizen–G2C) เป็นการทำธุรกรรมระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับประชาชนโดยไม่หวังผลกำไร แต่เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้ บริการข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชน เช่น การยื่นแบบชำระภาษีของกรมสรรพากร
-Collaborative Commerce (C-Commerce) เช่น เครือซีเมนต์ไทย ซี คอมเมิร์ซ (c-Commerce) หรือ Collaborative Commerce เป็นที่รู้จักกันในต่างประเทศได้เป็นเวลานานพอควรแล้วภายหลังจากการเกิดขึ้นของอินเทอร์เน็ต เนื่องจากได้สร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน (Competitive advantage) แก่บริษัทที่นำไปใช้อย่างเห็นได้ชัด อุตสาหกรรมที่ริเริ่มใช้ 
- Exchange – to – Exchange (E2E) การทำธุรกรรมด้านการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ (Exchange-To-Exchange–E2E) เป็นช่องทางสำหรับใช้แลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างองค์กรทั้งภาครัฐ และเอกชน
- E-Learning e-Learning คือ การเรียน การสอนในลักษณะ หรือรูปแบบใดก็ได้ ซึ่งการถ่ายทอดเนื้อหานั้น กระทำผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น ซีดีรอม เครือข่ายอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต เอ็กซทราเน็ต หรือ ทางสัญญาณโทรทัศน์ หรือ สัญญาณดาวเทียม (Satellite) ฯลฯ เป็นต้น 

ประเภทของสินค้าและบริการ
1.สินค้าที่จับต้องได้ (Hard Goods) เป็นสินค้าที่ผู้ขายต้องจัดส่งไปให้ผู้ซื้อ ถ้าผู้ขายขายสินค้าประเภทนี้จะต้องจัดหาบริษัทขนส่งสินค้า ศึกษาราย ละเอียดและเงื่อนไขการจัดส่งของแต่ละบริษัทอาทิเช่น การคํานวณค่าขนส่ง ประเภทของสินค้าที่รับขนส่ง ปริมาณ การขนส่ง เป็นต้น เพราะบางบริษัทอาจไม่รับขนส่งสินค้าที่เน่าเสียง่ายเช่น ดอกไม้ นอกจากนี้บริษัทยังต้องจัดการ เกี่ยวกับโกดังสินค้าเพราะต้องสต๊อกสินค้าเอาไว้เพื่อเตรียมขายอเมซอน ร้านหนังสือบนเว็บรายใหญ่ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี ได้น่าเสนอจุดขายจุดหนึ่งคือ การจัดส่งที่รวดเร็ว ซึ่งทําให้บริษัทต้องสํารองหนังสือไว้ในคลังสินค้าเป็นจํานวน มาก การจัดส่งให้ลูกค้าได้อย่างรวดเร็วเป็นจุดขายที่ดี แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นจุดอ่อนในด้านค่าใช้จ่ายที่บริษัทต้อง เสียไปในการจัดเก็บสินค้า
2.สินค้าที่จับต้องไม่ได้ (Soft Goods) เป็นสินค้าที่ผู้ขายไม่จําเป็นต้องจัดส่งให้ผู้ซื้อเพราะเป็นสินค้าที่ผู้ซื้อสามารถดึงหรือที่เรียกว่า ดาวน์โหลดจากเครื่อง คอมพิวเตอร์ของผู้ขายมาเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ซื้อสินค้ากลุ่มนี้ได้แก่ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ข้อมูลประเภท ต่างๆ และเพลง เป็นต้น
3.บริการ (Services) เป็นบริการที่ผู้ขายจัดขึ้นเพื่อให้บริการแก่ผู้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ โดยไม่ได้ขายสินค้าหรือบริการ บริการที่เสนอ อาจเป็นบริการที่เกี่ยวข้องกับอินเตอร์เน็ต เช่น บริการของอินเตอร์เน็ตเซอร์วิสโพรไวด์เดอร์ (Internet Service provider-ISP) ซึ่งบริษัทที่เป็นผู้ให้บริการกับเจ้าของร้านค้าหรือบุคคลทั่วไปในการจับจองเนื้อที่ของเว็บไซต์เพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์

ประเภทของเว็บไซต์ EC
           1. เว็บไซต์แค็ตตาล๊อกสินค้าออนไลน์ (Online Catalog Web site) เป็นเว็บไซต์ในรูปแบบของการให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าเพื่อประกอบการตัดสินใจในซื้อสินค้า เช่น www.tarad.com  
           2. ร้านค้าออนไลน์ (E-shop web site) เป็นรูปแบบเว็บไซต์ที่มีความสมบูรณ์แบบโดยมีทั้งระบบการจัดการสินค้า ระบบตะกร้าสินค้า ระบบการชำระเงิน ระบบการขนส่ง ผู้ซื้อสามารถทำการสั่งซื้อสินค้าและชำระเงินผ่านเว็บไซต์ได้ทันที เช่น www.thaigem.com 
          3. ประมูลสินค้า (Auction) เป็นเว็บไซต์ในรูปแบบของการนำเสนอการประมูลสินค้า โดยเป็นการแข่งขันกันเสนอราคาระหว่างผู้ต้องการประมูล และขายให้กับผู้ให้ราคาสูงสุด เช่น www.ebay.com 
          4.  การประกาศซื้อขาย (E-classified) เป็นเว็บไซต์ในรูปแบบของการเปิดโอกาสให้ผู้สนใจประกาศความต้องการซื้อขายสินค้าของตนได้ภายในเว็บไซต์ โดยเว็บไซต์นี้จะทำหน้าที่เหมือนกระดานข่าวและตัวกลางในการแสดงข้อมูลสินค้าและผู้ประกาศ เช่น www.pantipmarket.com 
          5. ตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ (E-marketplace) เป็นเว็บไซต์ในรูปแบบของตลาดนัดขนาดใหญ่ โดยมีการรวบรวมเว็บไซต์ของร้านค้าต่าง ๆ และจัดแบ่งเป็นหมวดหมู่ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าไปดูสินค้าภายในร้านค้าต่าง ๆ ภายในตลาดได้อย่างสะดวกง่ายดาย เช่น www.tarad.com , www.thaiambon.com 
หลักการตลาดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
หลักการตลาดของธุรกิจทั่วไปจะมีการนำหนัก 4
p มาใช้คือ
-          Product
-          Price
-          Place
-          Promotion
แต่หลักการตลาดของธุรกิจบนอินเทอร์เน็ต จะมีหลักการเพิ่มขึ้นมาตามสถานการณ์ของการประยุกต์ใช้ คือ
     -    Personalization  การให้บริการส่วนบุคคล
     -    Privacy  การรักษาความเป็นส่วนตัว
ขั้นตอนการทำธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
1. การหาข้อมูล/การโฆษณาประชาสัมพันธ์ (Searching and Advertising)
             · การใช้เว็บไซต์ของตนเองในการทำประชาสัมพันธ์ โดยให้ลูกค้าสมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับข่าวสารรายการสินค้าใหม่ หรือโปรโมชั่นที่น่าสนใจ การมีกิจกรรมพิเศษ การมีเว็บบอร์ด (web board) เพื่อกระตุ้นให้ผู้เข้าชมกลับมายังเว็บไซต์อีก
                · การประชาสัมพันธ์บน World wide web เช่น การโฆษณาโดยใช้แบนเนอร์ การแลกเปลี่ยนลิงค์ (Link) หรือแบนเนอร์กับเว็บไซต์อื่นๆ การจดทะเบียนกับเซิอร์เอ็นจิน (Search Engine) การมีเว็บไซต์อยู่ในไดเร็กทอรี (Directory)
                · การประชาสัมพันธ์ในที่อื่นๆบนอินเทอร์เน็ต ได้แก่ Newsgroup คือแหล่งชุมนุมของผู้ที่สนใจในเรื่องราวเดียวกันบนอินเทอร์เน็ต
2. การทำธุรกรรม (Transcation) หลังจากสืบค้นข้อมูลและได้รับข่าวสารการประชาสัมพันธ์แล้ว ลูกค้าจะต้องตัดสินใจว่าจะซื้อสินค้า หรือไม่ซื้อสินค้าต่อไป ต่อไป ถ้าดัดสินใจว่าจะซื้อจะเริ่มตั้งแต่การทำคำสั่งซื้อ การชำระเงินค่าสินค้าไปจนถึงการจัดส่งสินค้า
3.  การทำคำสั่งซื้อ (Ordrering) เมื่อได้ข้อมูลเพียงพอและต้องการจะทำการซื้อสินค้าหรือจะทำ
ธุรกรรมกันแล้ว  ในฝั่งผู้ขายต้องมีระบบการรับคำสั่งซื้อที่มีประสิทธิภาพรับอยู่ เป็นต้น
          3.1  ระบบตะกร้าสินค้า (Shopping Carts) มีการอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้ เช่น แสดงรายละเอียดที่ดูได้ง่ายกว่าได้ทำการสินค้าใดๆ ไว้บ้างแล้วในตะกร้า รวมแล้วค่าสินค้าเป็นเท่าไร ภาษีค่าจัดส่งต่างๆ ควรแสดงให้เห็นด้วย 
          3.2  ระบบการกรอกข้อมูลลงแบบฟอร์ม  มีความยืดหยุ่นในการดำเนินงานในการสั่งซื้อสินค้าและบริการมากกว่าระบบตะกร้าสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสินค้าและบริการประเภทที่ต้องการรายละเอียดปลีกย่อยมากๆ
          3.3 สั่งซื้อผ่านทาง E-mail
          3.4 สั่งซื้อผ่านทาง Social network
          4. การชำระเงิน (Payment) เป็นขั้นตอนที่สำคัญและต้องการความปลอดภัย จึงควรมีวิธีการให้ลูกค้าสามารถใช้บริการให้มากที่สุดที่สะดวกกับทั้งทางผู้ค้าและลูกค้า แบ่งวิธีการชำระเงินเป็น
      1.  ระบบการชำระเงินแบบออนไลน์ ลูกค้าสามารถที่จะชำระเงินผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้โดยตรงผ่านทาง
             -     บัตรเครดิต (Credit card)
             -     เงินสดอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Cash)
             -     เช็คอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Cheque)
             -     ชำระเงินผ่านผู้ให้บริการชำระเงิน เช่น Paypal,Paysbuy
             -     ชำระผ่าน Internet Banking เช่น บริการ Mobile Banking ของธนาคาร
             2.  การชำระเงินแบบออฟไลน์ ใช้วิธีอื่นในการชำระเงินเอง เช่น 
             -     ชำระเงินกับพนักงานส่งสินค้า
             -     โอนเงินผ่านระบบธนาคารในประเทศ - ผ่านบัญชีธนาคาร,ATM
             -     โอนเงินระหว่างประเทศ - Western Union
             -     โอนเงินผ่านที่ทำการไปรษณีย์  -  ไปรษณีย์ธนาณัติ
             -     ชำระที่ทำการไปรษณีย์ - Pay at post
           5. การจัดส่งสินค้า (Delivery) การจัดส่งสินค้าขึ้นอยู่กับประเภทสินค้าของสินค้า การจัดส่งจึงมี 2 รูปแบบคือ
         1. สินค้าที่จับต้องได้ จะต้องมีวิธีการจัดส่งให้ลูกค้าเลือกได้หลายวิธี
             -จัดส่งสินค้าโดยพนักงานขนส่งสินค้า (Cash on Delivery : C.O.D.)
             - จัดส่งสินค้าโดยผ่านทางไปรษณีย์ ทั้งพัสดุไปรษณีย์ในประเทศและต่างประเทศ มีระบบติดตามการฝากส่ง “Track & Trace” ที่เว็บไซต์ www.thailandpost.co.th
         2. สินค้าที่จับต้องไม่ได้ การจัดส่งจะทำการส่งผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น ดาวน์โหลดเพลงหรือข้อมูล การเป็นสมาชิกดูข้อมูลของเว็บไซต์ต่างๆ เป็นต้น




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น