วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2561

แบบฝึกหัดบทที่ 3



องค์ประกอบและหลักการทำงานของคอมพิวเตอร์

1.ฮาร์ดแวร์ คือ ตัวเครื่องและอุปกรณ์ต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ทุก ๆ ชิ้น รวมถึงอุปกรณ์ภายนอก (Peripheraldevice) อื่นๆ เช่น จอภาพ แป้นพิมพ์ เมาส์ เครื่องพิมพ์ฮาร์ดดิสก์ แผงวงจรหลัก (Mainboard) แรม การ์ดจอ ซีพียู เป็นต้น
2. ซอฟต์แวร์ คือ โปรแกรมหรือชุดข้อมูลค าสั่งต่าง ๆ ที่สั่งงานให้คอมพิวเตอร์ท างานตามวัตถุประสงค์
3 บุคลากร คือ ผู้ใช้งานหรือผู้ที่ท างานอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์รวมถึงโปรแกรมเมอร์นักวิเคราะห์ ระบบ และอื่นๆ

หลักการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์

                แบ่งออกเป็น 5 หน่วย ได้แก่ หน่วยรับข้อมูลเข้า หน่วยประมวลผลกลาง หน่วยความจำหลัก หน่วยความจำรอง และหน่วยส่งข้อมูลออก มีการทำงานโดยเริ่มจาก หน่วยรับข้อมูล จะทำหน้ที่รับข้อมูลจากอุปกรณ?รับข้อมูล เช่น แป้นพิมพ์ เม้าส์ ไมโครโฟน ในรูปแบบสัญญาณทางไฟฟ้า และเปลี่ยนสัญญาณที่ได้เป็นรหัสข้อมูล และถูกส่งไปยังหน่วยประมวลผล ทำการประมวลผลโดยวิธีการทางคณิตศาสตร์ จากนั้นส่งต่อไปยังหน่วยความจำหลัก ซึ่งเป็นหน่วยความจำแบบชั่วคราว เอาไว้พักข้อมูลในระหว่างการประมวลผล เมื่อประมวลผลเสร็จ ผลลัพธ์ที่ได้จะถูกส่งไปยังหน่วยความจำรอง ซึ่งจะสามารถเก็บข้อมูลเป็นรูปแบบถาวรได้  จากนั้นข้อมูลที่ถูกการประมวลผลแล้ว จะถูกส่งไปยังช่องทางการส่งข้อมูลออก จนไปแสดงผลของข้อมูลบนหน้าจอแสดงผลให้ผู้ใช้ได้นำผลลัพธ์ไปใช้งาน



หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit - CPU)
                หน่วยประมวลผลกลางหรือซีพียู เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โปรเซสเซอร์ (Processor) หรือ ชิป (chip) นับเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญมากที่สุดของฮาร์ดแวร์ เพราะมีหน้าที่ในการประมวลผลข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อน เข้ามาทางอุปกรณ์นำเข้าข้อมูลตามชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่ผู้ใช้ต้องการใช้งาน หน่วยประมวลผลกลาง ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วน คือ


1) หน่วยคำนวณและตรรกะ (Arithmetic & Logical Unit : ALU)


                หน่วยคำนวณตรรกะ ทำหน้าที่เหมือนกับเครื่องคำนวณอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยทำงานเกี่ยวกับการคำนวณทางคณิตศาสตร์ เช่น บวก ลบ คูณ หาร อีกทั้งยังมีความสามารถอีกอย่างหนึ่งที่เครื่องคำนวณธรรมดาไม่มี คือ ความสามารถในเชิงตรรกะศาสตร์ หมายถึง ความสามารถในการเปรียบเทียบตามเงื่อนไข และกฎเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์ เพื่อให้ได้คำตอบออกมาว่าเงื่อนไข นั้นเป็น จริง เท็จ ได้หรือ
Arithmetic & Logical Unit : ALU



2) หน่วยควบคุม (Control Unit) 

                หน่วยควบคุม ทำหน้าที่ควบคุมลำดับขั้นตอนการประมวลผล รวมไปถึงการประสานงานกับอุปกรณ์นำเข้าข้อมูล อุปกรณ์แสดงผล และหน่วยความจำสำรองด้วย ซีพียูที่มีจำหน่ายในท้องตลาด ได้แก่ Pentium III , Pentium 4 , Pentium M (Centrino) , Celeron , Dulon , Athlon

หน่วยความจําหลัก และประเภทหน่วยความจําหลัก

                หน่วยความจำหลัก มีหน้าที่เป็นแหล่งเก็บข้อมูลการทำงานของคอมพิวเตอร์ ซึ่งรวมทั้งตัวคำสั่งในโปรแกรมและข้อมูลต่างๆ ที่จะใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ขณะกำลังทำงานอยู่ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 

1. แรม (Random Access Memory : RAM) เป็นหน่วยความจำที่เก็บข้อมูลสำหรับใช้งานทั่วไป  การอ้างอิงตำแหน่งที่อยู่ของข้อมูลใดๆ เพื่อการเขียนและการอ่านจะกระทำแบบการเข้าถึงโดยสุ่มคือ เรียกไปที่ตำแหน่งที่อยู่ข้อมูลใดก็ได้ หน่วยความจำนี้เรียกว่า แรม หน่วยความจำประเภทนี้จะเก็บข้อมูลไว้ตราบเท่าที่มีกระแสไฟฟ้ายังจ่ายให้วงจรหากไฟฟ้าดับเมื่อใด ข้อมูลก็จะสูญหายทันที เครื่องพีซีคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนี้ ถ้ามีหน่วยความจำแรมมากๆ จะทำให้สามารถใช้งานโปรแกรมที่มีขนาดใหญ่ๆ ได้ดีด้วย หน่วยความจำที่นิยมในปัจจุบันจะประมาณ 32, 64, 128, 256 เมกะไบต์ เป็นต้น



2.  รอม (Read Only Memory : ROM) เป็นหน่วยความจำอีกประเภทหนึ่งที่มีการอ้างอิงตำแหน่งที่อยู่ข้อมูลแบบเข้าถึง โดยสุ่มหน่วยความจำประเภทนี้มีไว้เพื่อบรรจุโปรแกรมสำคัญบางอย่าง เพื่อว่าเมื่อเปิดเครื่องมา ซีพียูจะเริ่มต้นทำงานได้ทันทีข้อมูลหรือโปรแกรมที่เก็บไว้ในรอมจะถูกบันทึกมาก่อนแล้ว ผู้ใช้สามารถอ่านข้อมูลได้ แต่ไม่สามารถเขียนข้อมูลใดๆ ลงไปได้ซึ่งข้อมูลหรือโปรแกรมที่อยู่ในรอมนี้จะอยู่อย่างถาวร แม้จะปิดเครื่องข้อมูลหรือโปรแกรมก็จะไม่ถูกลบไป



  ไมโครคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องอาจมีขนาดของหน่วยความจำหลักแตกต่างกันตามแต่ความต้องการ ปัจจุบันเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์มีหน่วยความจำที่มีความจุมากขึ้น เพื่อให้สามารถบรรจุโปรแกรมขนาดใหญ่ได้  


หน่วยเก็บข้อมูลสํารอง และประเภทของหน่วยเก็บข้อมูลสํารอง

                หน่วยความจำรองหรือหน่วยเก็บข้อมูล (Storage) มีหน้าที่ในการเก็บข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ไว้ และสามารถนำกลับมาใช้งานได้อีกตามต้องการ บางครั้งเรียกว่า หน่วยความจำสำรอง (Secondary Memory) เป็นหน่วยเก็บข้อมูลถาวรที่ผู้ใช้สามารถย้ายข้อมูลและคำสั่งที่อยู่ในแรมขณะที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงาน มาจัดเก็บไว้ได้ด้วยคำสั่งบันทึกของโปรแกรมต่างๆ ทำให้ผู้ใช้สามารถเรียกข้อมูลและคำสั่งมาใช้ภายหลังได้ ซึ่งหน่วยความจำรองมีความจุข้อมูลได้มากกว่าหน่วยความจำหลักและมีราคาถูกกว่า แต่เข้าถึงข้อมูลได้ช้ากว่าหน่วยความจำหลัก

ประเภทของหน่วยความจำรองในปัจจุบันประกอบด้วย 4 ประเภท ได้แก่ 

                  1) ฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk) ใช้หลักการของการเข้าถึงข้อมูลแบบสุ่ม (Random Access) กล่าวคือ ถ้าต้องการข้อมูลลำดับที่ 21 หัวอ่านก็จะตรงไปที่ข้อมูลนั้นและอ่านข้อมูลนั้นขึ้นมาได้ทันที หัวอ่านของฮาร์ดดิสก์ เรียกว่า หัวอ่านและบันทึก (Read/Write Head) โดยฮาร์ดดิสก์ทำมาจากแผ่นจานแม่เหล็กเรียงซ้อนกันหลายๆ แผ่น ซึ่งสามารถบันทึกข้อมูลได้ทั้งสองหน้าของผิวจานแม่เหล็ก ยกเว้นแผ่นสุดท้ายที่ติดกับกล่องจะบันทึกข้อมูลได้เพียงหน้าเดียว โดยที่ทุกแทร็ก (Track) และเซกเตอร์ (Sector) ที่ตำแหน่งตรงกันของฮาร์ดดิสก์ชุดๆ หนึ่ง จะถูกเรียกว่า ไซลินเดอร์ (Cylinder)

                การทำงานของหัวอ่านและบันทึกจะไม่สัมผัสกับผิวของแผ่นจานแม่เหล็ก ดังนั้น หากมีฝุ่นไปกีดขวางหัวอ่านและบันทึก อาจทำให้หัวอ่านและบันทึกกระแทกกับผิวของแผ่นจานแม่เหล็ก ทำให้เกิดความเสียหาย และเกิดความผิดพลาดในการเรียกใช้ข้อมูลได้ 

                ความจุของฮาร์ดดิสก์มีหน่วยตั้งแต่ไบต์ เมกะไบต์ กิกะไบต์ ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีความจุของฮาร์ดดิสก์มากสามารถจะเก็บข้อมูลได้มาก







                 2) เทปแม่เหล็ก (Magnetic Tape) เป็นหน่วยเก็บข้อมูลที่ได้รับความนิยมน้อยลงใช้สำหรับการเก็บสำรองข้อมูล (Backup) เพื่อป้องกันการสูญหายของข้อมูล ใช้หลักการของการเข้าถึงแบบลำดับ (Sequential Access) ข้อดีของเทปแม่เหล็ก คือ ราคาถูกและเก็บข้อมูลได้มาก เทปแม่เหล็กมีหลักการทำงานคล้ายเทปบันทึกเสียง แต่เปลี่ยนจากการเล่น (Play) และบันทึก (Record) เป็นการอ่าน (Read) และเขียน (Write)
     
                3) ออปติคัลดิสก์ (Optical Disk) เป็นหน่วยความจำสำรองที่ใช้เทคโนโลยีแสงเลเซอร์ในการบันทึกข้อมูล ทำให้สามารถเก็บข้อมูลได้จำนวนมากและราคาไม่แพง ออปติคัลดิสก์ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน มีดังนี้




1) ซีดีรอม (CD-ROM : Compact Disk-Read-only Memory) คือ หน่วยความจำสำรองที่บันทึกได้เพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลเหล่านั้นได้อีก
2) ซีดีอาร์ (CD-R : Compact Disk-Recordable) คือ หน่วยความจำสำรองที่สามารถเขียนข้อมูลลงแผ่นแล้ว ข้อมูลเหล่านั้นจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ผู้ใช้สามารถบันทึกข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติมลงแผ่นเดิมได้จนกว่าข้อมูลจะเต็มแผ่น
3) ซีดีอาร์ดับบลิว (CD-RW : Compact Disk-Rewritable) คือ หน่วยความจำที่สามารถเขียนข้อมูลลงแผ่น และสามารถเขียนข้อมูลใหม่ทับลงในแผ่นเดิมได้ หรือผู้ใช้สามารถเปลี่ยนเนื้อหาต่างๆ ภายในแผ่นซีดีอาร์ดับบลิวได้

4) ดีวีดี (DVD : Digital Video Disk) เป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น มีการใช้เทคโนโลยีบีบอัดข้อมูลมากขึ้น ดีวีดี 1 แผ่น สามารถเก็บข้อมูลได้ตั้งแต่ 4.7 กิกะไบต์ ถึง 17 กิกะไบต์ ดีวีดีแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ดังนี้
                  (1)
ดีวีดีรอม (DVD ROM) ส่วนมากใช้กับการเก็บภาพยนต์ที่มีความยาวเกินกว่าสองชั่วโมงได้
                  (2)
ดีวีดี-อาร์ (DVD-R) ใช้ในการเก็บข้อมูลที่มีปริมาณมาก ซึ่งมีราคาสูงกว่าดีวีดีรอม หลังจากที่มีการบันทึกข้อมูลลงแผ่นดีวีดีอาร์แล้ว ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้
                  (3)
ดีวีดี-อาร์ดับบลิว (DVD-RW) เป็นเทคโนโลยีแบบแสง มีเครื่องอ่านที่ให้ผู้ใช้บันทึก ลบ และบันทึกข้อมูลลงบนแผ่นเดิมได้
5) บลูเรย์ดิสก์ (Blue Ray Disk) เป็นเทคโนโลยีแบบแสงล่าสุดที่สามารถบันทึกข้อมูลความละเอียดสูงได้ถึง 100 กิกะไบต์ ให้ภาพและเสียงที่คมชัด มักนำมาใช้ในการบันทึกภาพยนต์


                 4) หน่วยความจำแบบแฟลช (Flash Memory Device) มีชื่อเรียดหลายอย่างได้แก่ แฟลชไดรฟ์ (Flash Drive) ธัมไดรฟ์ (Thumb Drive) หรือแฮนดีไดรฟ์ (Handy Drive) เป็นหน่วยความจำสำรองชนิดอีอีพร็อม (Electrically Erasable Programmable Read-Only Memory : EEPROM) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถเก็บข้อมูล เขียน และลบข้อมูลได้ตามต้องการ หน่วยความจำชนิดนี้มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา และพกพาได้สะดวก

หน่วยรับข้อมูลเข้า และประเภทอุปกรณ์ของหน่วยรับข้อมูล

                หน่วยรับข้อมูลเข้า คือ เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับข้อมูลรับข้อมูลหรือคำสั่ง จากผู้ใช้เข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น ตัวอักษร ตัวเลข สัญลักษณ์ เป็นต้น โดยจะแปลงข้อมูลหรือคำสั่งนั้นให้อยู่ในรูปของสัญญาณไฟฟ้าที่คอมพิวเตอร์เข้าใจ นำมาจัดเก็บที่หน่วยความจำหลัก และใช้ประมวลผลได้ ประเภทของอุปกรณ์หน่วยรับข้อมูลเข้า ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน มีดังนี้ 
1.แป้นพิมพ์(Keyboard)  เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับข้อมูลที่สามารถพิมพ์หรือเคาะได้ เช่น ตัวเลข ตัวอักษร
2.เมาส์(Mouse) เป็นอุปกรณ์สำหรับรับข้อมูลจากการชี้ตำแหน่งบนจอภาพ
3.แทร็กบอล(Track Ball) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการรับข้อมูล โดยการชี้และเลือกข้อมูลผ่านทางจอภาพเช่นเดียวกับเมาส์แต่  แทร็กบอลจะเลื่อนตัวชี้โดยการหมุนลูกบอลที่อยู่ด้านบน
4. จอยสติก  (Joy Stick)  เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รับข้อมูลมีลักษณะเป็นคันโยกขึ้นลง  ซ้ายขวา  เพื่อควบคุมตำแหน่งของตัวชี้ 
5.เครื่องอ่านบาร์โค๊ต  (Bar Code Reader)  เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลจากรหัสของเลขฐานสองที่อยู่ในรูปของรหัสแถบ (Bar Code)ซึ่งประกอบด้วยแถบสีดำและยาว ความกว้างของแถบสีดำตัวกำหนดรหัสที่แทนค่าของตัวเลข
6. สแกนเนอร์ (Scanner) เป็นอุปกรณ์รับข้อมูล  โดยการอ่านหรือสแกน(Scan) ข้อมูลที่ต้องการ  เครื่องสแกนจะมีเซลล์ไวแสงที่ตรวจจับความเข้มของแสงที่สะท้อนจากข้อมูล  แล้วแปลงเป็นสัญญาณดิจิตอลให้เครื่องคอมพิวเตอร์ดำเนินการต่อไป 
7. เครื่องอ่านอักขระด้วยแสง  (Optical Character Reader:  OCR) เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลที่เป็นอักขระจากเอกสารต่างๆ เช่น ตัวอักษรบนเช็ค  ตัวอักษรบนเอกสารอื่นๆ
8. เครื่องอ่านหมึกพิมพ์แม่เหล็ก (Magcnetic Ink Character Reader: MICR) เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลที่พัฒนาเพื่อใช้สำหรับการอ่านสัญลักษณ์ที่พิมพ์จากหมึกพิมพ์ที่ผสมกับผงเหล็กออกไซด์ 
9.ปากกาแสง (Light Pen)  เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลอีกชนิดหนึ่งโดนการแตะปากกาแสงไปตามตำแหน่งหรือทิศทางที่ต้องการ  มักใช้ในงานออกแบบ 
10.จอสัมผัส  (Touch Screens)  เป็นอุปกรณ์สามารถทำงานได้ทั้งการรับและการแสดงผลการรับข้อมูลจะใช้นิ้วสัมผัสที่หน้าจอ  เพื่อเลือกเมนู เช่น หน้าจอของเครื่อง ATM
11.กล้องถ่ายภาพดิจิตอล  (Digital Camera) เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลโดยการถ่ายภาพ  ข้อมูลที่ได้จะถูกเปลี่ยนเป็นสัญญาณดิจิตอลแล้วเก็บข้อมูลดิจิตอลนั้นไว้ในอุปกรณ์ CCD (Charge Coupled Device) แล้วส่งข้อมูลไปประมวลผลในคอมพิวเตอร์
12.ไมโครโฟน (Microphone) เป็นอุปกรณ์รับข้อมูลจากเสียงพูดโดยตรง  เสียงที่ได้จะถูกแปลงสัญญาณเป็นสัญญาณดิจิตอล  เพื่อให้คอมพิวเตอร์ประมวลผลได้

หน่วยแสดงผล และประเภทอุปกรณ์ของหน่วยแสดงผล

            หน่วยแสดงผลลัพธ์ (Output Unit) เป็นหน่วยสำหรับแสดงผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ ผ่านอุปกรณ์การแสดงผล ซึ่งผลลัพธ์ที่แสดงออกมาจะมีทั้งข้อมูลตัวอักษรภาพนิ่งภาพเคลื่อนไหว หรือเสียง เป็นต้น ประเภทของอุปกรณ์หน่วยแสดงผลอาจแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทดังนี้

1.อุปกรณ์แสดงผลหน้าจอ (Display device ) เป็นอุปกรณ์สำหรับการแสดงผลในรูปแบบกราฟิกและผู้ใช้สามารถเห็นผลลัพธ์ได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อไฟดับหรือปิดการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ลงไปจะไม่สามารถเห็นได้อีก บางครั้งนิยมเรียกอุปกรณ์ประเภทนี้ว่าsoft copy นั่นเอง เช่น
          เทอร์มินอล ( Terminal ) มักพบเห็นได้กับจุดบริการขาย ( POS-Point Of Sale ) ตามห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ หรือจุดให้บริการลูกค้าเพื่อทำรายการบางประเภท เช่น ตู้รายการฝากถอน ATM อัตโนมัติ จอภาพของเทอร์มินอลจะมีขนาดเล็กกว่าจอภาพที่ใช้กับคอมพิวเตอร์
         จอซีอาร์ที ( CRT Monitor ) เป็นอุปกรณ์แสดงผลที่นิยมใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ประเภทพีซี การทำงานจะอาศัยหลอดแก้วแสดงผลขนาดใหญ่ที่เรียกว่าหลอดรังสีคาโธด ( cathode ray tube ) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับหลอดภาพของโทรทัศน์ และตัวจอภาพก็มีลักษณะเหมือนกับจอภาพของโทรทัศน์ มีหลายขนาดตั้งแต่ 14,15,16,17,19,20 และ 21 นิ้ว เป็นต้น (แนวโน้มการใช้งานปัจจุบันจะเลือกใช้จอภาพที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อช่วยในการทำงานได้ดีกว่าจอภาพขนาดเล็ก โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้พื้นที่สำหรับทำงานบนจอภาพมาก ๆ เช่น การสร้างภาพกราฟิกหรือการออกแบบงาน 3 มิติ เป็นต้น)

( CRT Monitor )
              จอแอลซีดี ( LCD Monitor )  เป็นอุปกรณ์แสดงผลอีกแบบหนึ่ง อาศัยการทำงานของโมเลกุลชนิดพิเศษเรียกว่า “ ผลึกเหลว”หรือ liquid crystal ในการแสดงผล (LCD = Liquid Crystal Display ) ซึ่งเมื่อมีสัญญาณไฟฟ้าส่งไปยังแต่ละจุดบนจอ ผลึกเหลว ณ จุดนั้นจะมีการบิดตัวของโมเลกุลเป็นองศาที่แตกต่างกัน ทำให้แสงที่ส่องจากด้านหลังจอผ่านได้มากน้อยต่างกัน และเกิดภาพสีต่าง ๆ ขึ้น แต่เดิมนิยมใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบโน๊ตบุ๊ค ปัจจุบันได้นำมาใช้กับเครื่องพีซีทั่วไปบ้างแล้ว เนื่องจากมีขนาดบาง เบาและสะดวกในการเคลื่อนย้ายมากกว่า อีกทั้งยังไม่เปลืองพื้นที่สำหรับการทำงานด้วย แต่ปัจจุบันยังมีราคาที่แพงกว่าจอแบบซีอาร์ทีพอสมควร

( LCD Monitor )

          โปรเจคเตอร์ ( Projector ) นิยมใช้สำหรับการจัดประชุม สัมมนา หรือการนำเสนอผลงาน ( presentation ) ที่ต้องการให้ผู้เข้าชมจำนวนมากได้เห็นข้อมูลภาพกราฟิกต่าง ๆ ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทำหน้าที่เป็นเหมือนอุปกรณ์ช่วยขยายภาพขนาดเล็กจากจอภาพธรรมดาให้ไปแสดงผลลัพธ์เป็นภาพขนาดใหญ่ที่บริเวณฉากรับภาพ

( Projector )

2.อุปกรณ์สำหรับพิมพ์งาน (Print Device )
เป็นอุปกรณ์การแสดงผลที่แสดงออกมาให้อยู่ในรูปแบบข้อมูล รายงาน รูปภาพ หรือแผนที่ซึ่งสามารถจับต้องหรือเก็บรักษาไว้ได้อย่างถาวร นิยมเรียกอุปกรณ์เหล่านี้ Hard copy อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องสำหรับการพิมพ์งานมีดังนี้
      เครื่องพิมพ์แบบดอทเมตริกซ์( Dot matrix Printer ) เป็นเครื่องพิมพ์ที่ใช้กันในองค์กรธุรกิจทั่วไป เนื่องจากมีคุณสมบัติในการทำงานพิมพ์โดยอาศัยหัวเข็มพิมพ์กระทบลงไปที่ผ้าหมึก( ribbon ) และตัวกระดาษโดยตรงจึงเหมาะสมกับการพิมพ์เอกสารประเภทใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี ใบส่งของ หรือรายการสั่งซื้อที่จำเป็นต้องมีสำเนาเอกสาร(copy ) เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานทางการบัญชี นิยมเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เครื่องพิมพ์แบบกระทบ(impact printer ) แต่มีข้อจำกัดในเรื่องการทำงานที่เป็นสี นอกจากนี้คุณภาพของงาน ความคมชัด และความเร็วยังต่ำกว่าเครื่องพิมพ์แบบอื่นๆ จึงมีความนิยมใช้ลดลง ถึงแม้มีราคาไม่สูงนักก็ตาม

( Dot matrix Printer )

                เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์( Laser Printer ) ผลลัพธ์ที่ได้จากการพิมพ์เอกสารด้วยเครื่องพิมพ์แบบดอทเมตริกซ์ซึ่งอาศัยหัวพิมพ์กระทบลงไปในกระดาษเหมือหลักการของเครื่องพิมพ์ดีดนั้น ทำให้คุณภาพงานพิมพ์ที่ได้ไม่ชัดเจน จึงนิยมใช้เครื่องพิมพ์ประเภทเลเซอร์เข้ามาแทนเนื่องจากมีความคมชัดมากกว่าเครื่องพิมพ์แบบนี้อาศัยการทำงานของแสงเลเซอร์ฉายลงไปยังหลอดสร้าง( drum ) ภาพที่ได้รับการกระตุ้นของแสง แล้วฉีดผงหมึกเข้าไปยังบริเวณที่มีประจุอยู่(ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับเครื่องถ่ายเอกสารนั่นเอง) จากนั้นให้กระดาษวิ่งมารับผงหมึก แล้วไปผ่านความร้อนเพื่อให้ภาพติดแน่น ข้อดีคือภาพที่ได้มีความละเอียดสูงมาก และความเร็วก็สูง แต่มีข้อเสียคือไม่สามารถพิมพ์เอกสารที่เป็นแบบสำเนา (copy ) เหมือนกับเครื่องพิมพ์แบบดอทเมตริกซ์ได้ นอกจากนี้ปัจจุบันเริ่มมีเครื่องพิมพ์งานสีได้แล้ว โดยใช้ผงหมึก 4 สีผสมกัน ซึ่งราคาเครื่องเริ่มลดลงมากแล้ว แต่ผงหมึกก็ยังแพงอยู่

( Laser Printer )

            เครื่องพิมพ์แบบอิงค์เจ็ต ( Ink-jet Printer ) เป็นเครื่องพิมพ์ที่มีการทำงานโดยอาศัยน้ำหมึกพ่นลงไปบนกระดาษตรงจุดที่ต้องการ และสามารถเลือกใช้ได้ทั้งหมึกสีและขาวดำ เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึกอาจมีทั้งแบบราคาถูกที่ใช้งานตามบ้านทั่วไปสำหรับพิมพ์เอกสารที่ต้องการความสวยงาม เช่น ภาพถ่าย โปสการ์ด ปฏิทิน หรือพิมพ์บนกระดาษแบบพิเศษแล้วนำไปติดกับเสื้อผ้าหรือแก้วกาแฟ หรืออาจพบเห็นได้กับเครื่องพิมพ์ในบางรุ่นที่นิยมใช้กันในงานธุรกิจ เช่น งานพิมพ์โปสเตอร์หรือภาพสีขนาดใหญ่ แต่ก็มีราคาที่แพงตามไปด้วย

( Ink-jet Printer )

          พลอตเตอร์ ( Plotter ) เป็นเครื่องพิมพ์เพื่อแสดงผลลัพธ์อีกประเภทหนึ่ง มักใช้กับการพิมพ์เอกสารที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่มากและไม่สามารถพิมพ์ด้วยเครื่องขนาดเล็กได้ การทำงานใช้กลไกบังคับปากกาให้ขีดลงบนกระดาษโดยตรง ส่วนใหญ่เป็นเอกสารที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น ภาพโฆษณา แผนที่ แผนผัง แบบแปลน เป็นต้น อย่างไรก็ดีอาจพบเห็นเครื่องพลอตเตอร์นี้ค่อนข้างน้อยในปัจจุบัน เนื่องจากเครื่องพิมพ์แบบอิงค์เจ็ตได้เข้ามาแทนที่เกือบหมดแล้ว


( Plotter )

3.อุปกรณ์ขับเสียง (Audio Device )
                ลำโพง ( Speaker ) ข้อมูลที่เป็นแบบเสียงจะไม่สามารถแสดงผลลัพธ์ไปยังจอภาพของคอมพิวเตอร์ได้ แต่จะอาศัยอุปกรณ์แสดงผลเฉพาะที่เรียกว่า ลำโพง ( speaker ) เพื่อช่วยขับเสียงออก ปัจจุบันมีราคาถูกมากตั้งแต่ร้อยกว่าบาทจนถึงหลักพัน นิยมใช้สำหรับการแสดงผลในรูปของเสียงเพลงหรือเสียงประกอบในภาพยนตร์รวมถึงเสียงที่ได้จากการพูดผ่านไมโครโฟน


             หูฟัง ( Headphone ) เป็นอุปกรณ์สำหรับรับฟังข้อมูลประเภทเสียงเช่นเดียวกัน นิยมใช้สำหรับการฟังเสียง เช่น ฟังเพลง หรือเสียงประกอบภาพยนตร์ที่เป็นแบบส่วนตัว ในบางรุ่นอาจพบได้ทั้งหูฟังและไมโครโฟนอยู่ในตัวเดียวกัน มีให้เลือกหลายชนิดทั้งแบบที่มีสายเชื่อมต่อและแบบไร้สาย ราคาของหูฟังอาจจะมีตั้งแต่ราคาไม่กี่ร้อยบาทจนถึงหลักพัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพและยี่ห้อของบริษัทผู้ผลิตด้วย
                โดยปกติทั้งหูฟังและลำโพงจะต่อสัญญาณเสียงแบบอนาล็อก ( analog ) คือสัญญาณเสียงทั่ว ๆ ไปเหมือนในวิทยุหรือโทรทัศน์ จากช่องเสียบสัญญาณที่ซาวด์การ์ดในเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่มีลำโพงและหูฟังบางแบบอาจใช้การต่อสัญญาณเสียงในแบบดิจิตอลจากพอร์ต USB ของเครื่องออกมาแทน แล้วแปลงกลับเป็นเสียงแบบที่เราได้ยินกัน โดยใช้วงจรภายในตัวเอง ซึ่งจะลดเสียงรบกวนจากอุปกรณ์อื่น ๆ ในคอมพิวเตอร์ แต่หูฟังหรือลำโพงแบบนี้ก็จะมีราคาแพงกว่า

เหตุผลที่ผู้บริหารควรให้ความสนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์
              เหตุผลที่ผู้บริหารควรให้ความสนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ ก็เพราะ ฮาร์ดแวร์เป็นส่วนหนึ่งของระบบคอมพิวเตอร์ และมีการขยายตัวที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ผู้บริหารสามารถนำเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ต่างๆมาใช้กับงานธุรกิจ ให้ธุรกิจมีความก้าวหน้า ขยายตัว ทันต่อยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพให้ธุรกิจของตนก้าวหน้าทางการค้ามากกว่าคู่แข่ง จึงทำให้ฮาร์ดแวร์เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งในการทำธุรกิจ
หลักการตัดสินใจในการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ของผู้บริหาร ควรมีหลักการ ดังนี้

การเลือกเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อนำมาใช้ในระบบงาน 
                  ต้องสามารถรองรับการขยายตัวของระบบงานได้ในอนาคต เนื่องจากเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาและรวดเร็วมาก การเลือกเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้งาน
ต้องพิจารณาจากงานในธุรกิจนั้น แนวโน้มของธุรกิจในอนาคต สิ่งที่ควรพิจารณาคือ
                 1. ไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer) เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กจนถึงขนาดกลาง
สามารถเชื่อมต่อกันเป็นระบบเครือข่ายท้องถิ่น LAN (Local Area Network) และเชื่อมต่อกันเป็นระบบ WAN (Wide Area Network)
โดยผ่านระบบการสื่อสารแบบต่างๆ เช่น ดาวเทียม คลื่นวิทยุ คลื่นไมโครเวฟ ฯลฯ และเข้าสู่ระบบอินเตอร์เน็ต
ซึ่งเป็นเครือข่ายสากลได้ด้วย เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพสูง ราคาไม่แพง
          2. มินิคอมพิวเตอร์ (Minicomputer) เหมาะกับธุรกิจขนาดกลาง มีระบบการเก็บข้อมูลที่ดีกว่าไมโครคอมพิวเตอร์
 จึงเหมาะกับข้อมูลที่ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อยนัก ราคาเครื่องสูงกว่าไมโครคอมพิวเตอร์
              3. เมนเฟรม (Mainframe) และ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (Supercomputer) เหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่
ทำหน้าที่เป็นคอมพิวเตอร์ศูนย์กลาง มีการประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อน รวดเร็วมาก ประสิทธิภาพสูง ราคาแพง
ต้องใช้สถานที่และสภาพแวดล้อมที่ออกแบบเป็นพิเศษ ควบคุมอุณหภูมิ เป็นต้น
นอกจากนี้สิ่งที่ผู้บริหารควรคำนึงก่อนการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์มาใช้ภายในองค์กร โดยต้องคำนึงถึงด้านต่างๆ ได้แก่
               1. งบประมาณในการจัดซื้อ
               2. ประเภทของงานที่นำคอมพิวเตอร์มาใช้
               3. สมรรถนะของเครื่อง
              4. ความสามารถในการ Upgrade ในอนาคต
         และรายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ หลัก ๆ โดยทั่วไปมีดังนี้
               1. รุ่นและความเร็วในการประมวลผลของ CPU
               2. ชนิดและขนาดของหน่วยความจำ RAM
               3. ขนาดของหน่วยความจำแคช (Cache Lever 2)
               4. ขนาดความจุของฮาร์ดดิสก์ (Hard disk)
วิวัฒนาการของโครงสร้างพื้นฐาน It (Evolution Of It Infrastructure)


                     วิวัฒนาการของเทคโนโลยี หมายถึง การพัฒนาวิธีการ สิ่งของเครื่องใช้ หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อแก้ปัญหาสนองความต้องการ หรือเพิ่มความสามารถในการทำงานของมนุษย์โดยมีการปรับปรุงกระบวนการผลิตลักษณะทางกายภาพ วัสดุ หน้าที่ใช้สอย การใช้งาน รวมถึงประสิทธิภาพของวิธีการ สิ่งของเครื่องใช้หรือผลิตภัณฑ์นั้นอย่างต่อเนื่อง 
                เทคโนโลยีสารสนเทศกำลังเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตประจำวันอย่างมาก และยังมีผลต่อการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน เทคโนโลยีสารสนเทศเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน เมื่อราว พ.ศ.2500 เทคโนโลยีสารสนเทศยังไม่แพร่หลาย จะมีเพียงการใช้โทรศัพท์เพื่อการติดต่อสื่อสารและเริ่มมีการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยประมวลผลข้อมูล ในอนาคตเทคโนโลยีแบบสื่อประสมจะช่วยเสริมและสนับสนุนงานด้านสารสนเทศให้ก้าวหน้าต่อไป การพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์

               การดำเนินชีวิตในปัจจุบันเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์ที่มี่บทบาทเพิ่มขึ้น พ.ศ.2528 กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดให้มีการเรียนคอมพิวเตอร์จากเดิมเป็นวิชาเลือก แต่ในปัจจุบันกำหนดให้นักเรียนทุกคนต้องเรียน เพื่อให้เยาวชนทุกคนมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของเทคโนโลยีสารสนเทศ และนำไปประยุกต์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณธรรม จริยธรรม



วิวัฒนาการของโครงสร้างพื้นฐานได้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยต่างๆ ดังนี้


               เทคโนโลยีสารสนเทศที่ใช้ในการจัดการสารสนเทศมากที่สุด คือ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีวิวัฒนาการการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ดังนี้

1.ยุคเครื่องบัญชีอิเล็กทรอนิกส์ (1930 1950)  คอมพิวเตอร์ในยุคนี้ได้มีการประดิษฐ์ให้สามารถคำนวณและหาผลลัพธ์ต่าง ๆ ได้รวดเร็วมากยิ่ง มีการนำเอาไปใช้ประโยชน์อย่างมากมายทั้งในแวดวงการทหารและการศึกษาระดับสูงทั่วไป จากนั้นจึงได้พัฒนาเข้าสู่การใช้งานในเชิงพาณิชย์มากยิ่งขึ้น ตัวอย่างของคอมพิวเตอร์ในยุคนี้ได้แก่

2.ยุคเมนเฟรมและมินิคอมพิวเตอร์ (1959 - ปัจจุบัน)  
                เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ มีสมรรถภาพที่ต่ำกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์มาก แต่ยังมีความเร็วสูง และมีประสิทธิภาพสูงกว่านิคอมพิวเตอร์หรือไมโครคอมพิวเตอร์ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์สามารถให้บริการผู้ใช้จำนวนหลายร้อยคนพร้อม ๆ กัน ฉะนั้น จึงสามารถใช้โปรแกรมจำนวนนับร้อยแบบในเวลาเดียวกันได้ โดยเฉพาะถ้าต่อเครื่องเข้าเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้สามารถใช้ได้จากทั่วโลก ปัจจุบัน องค์กรใหญ่ ๆ เช่น ธนาคาร จะใช้คอมพิวเตอร์ประเภทนี้ในการทำบัญชีลูกค้า หรือการให้บริการจากเครื่องฝากและถอนเงินแบบอัตโนมัติ (automatic teller machine) เนื่องจากเครื่องเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ได้ถูกใช้งานมากในการบริการผู้ใช้พร้อม ๆ กัน เมนเฟรมคอมพิวเตอร์จึงต้องมีหน่วยความจำที่ใหญ่มาก
                มินิคอมพิวเตอร์ คือ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ๆ ซึ่งสามารถบริการผู้ใช้งานได้หลายคนพร้อม ๆ กัน แต่จะไม่มีสมรรถภาพเพียงพอที่จะบริการผู้ใช้ในจำนวนที่เทียบเท่าเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ได้ จึงทำให้มินิคอมพิวเตอร์เหมาะสำหรับองค์กรขนาดกลาง หรือสำหรับแผนกหนึ่งหรือสาขาหนึ่งขององค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น

3. ยุคคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (1981-ปัจจุบัน) ลักษณะของ IBM PC ในปีพ. ศ. 2524 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคพซีเนื่องจากเครื่อง นี้เป็นเครื่องแรกที่ได้รับการรับรองโดยธุรกิจอเมริกัน ร้อยละ 95 ของ 1 พันล้านเครื่องคอมพิวเตอร์พีซ์ Wintel ใช้ซอฟต์แวร์ Windows และไมโครโปรเซสเซอร์ของอินเทล พี่ซีเป็นระบบแบบสแตนด์อโลนจนซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการ PC ในทศวรรษ 1990 ท่าให้ สามารถเชื่อมโยงเข้ากับเครือข่ายได้

4. ยุคไคลเอ็นต์เซิร์ฟเวอร์ (1983 - ปัจจุบัน) ในการประมวลผลแบบไคลเอ็นต์ / เซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์เดสก์ทอปหรือแล็ปท็อปที่ เรียกว่าไคลเอ็นต์จะเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการและความสามารถแก้ไคลเอ็นต์ ไคลเอ็นต์เป็นจุดเข้าใช้งานโดยที่ เซิร์ฟเวอร์มักจะประมวลผลและเก็บข้อมูลที่ใช้ร่วมกันทําหน้าที่เว็บเพจหรือจัดการกิจกรรมบนเครือข่าย เซิร์ฟเวอร์อาจเป็นเมนเฟรม แต่ คอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ในปัจจุบันมักเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

5. เอ็นเตอร์ไพร์อินเตอร์เน็ต (1992 - ปัจจุบัน)  เทคโนโลยีเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Transmission Control Protocol / Internet Protocol หรือ TCP/IP) ช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถเชื่อมโยงอุปกรณ์และเครือข่ายท้องถิ่น (LANs) ที่แตกต่างกันเข้ากับเครือข่าย เดียวทั่วทั้งองค์กร สภาพแวดล้อมการประมวลผลแบบบูรณาการช่วยให้การรวบรวมและการกระจายข้อมูลได้รวดเร็วและราบรื่นมากขึ้น

เทคโนโลยีที่เป็นแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างพื้นฐาน IT (The Technology Driver Of IT Infrastructure Change) 

      เทคโนโลยีเครือข่ายในปัจจุบันได้พิสูจน์แล้วว่า เป็นแรงผลักดันในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และช่วยให้การใช้ชีวิตสะดวกง่ายดายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านการทำงาน, การเล่น และการเรียนรู้ สำหรับผู้บริหารที่มองโลกในแง่ดีสักหน่อย ก็คงเห็นด้วยว่าการนำเอาเทคโนโลยีด้านเครือข่าย และสารสนเทศมาใช้งานนั้น สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นองค์กรทางภาครัฐ หรือภาคเอกชน รวมไปถึงการยกระดับการใช้ชีวิตของประชากรทั่วโลก ให้มีความสะดวกสบายยิ่งขึ้น อีกทั้งยังลดช่องว่างในความเหลี่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมอีกทางหนึ่งด้วย

ปัจจัยที่เป็นแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างพื้นฐาน IT ได้แก่

การพัฒนาความสามารถในการประมวลผลของไมโครโปรเซสเซอร์
                กฎของ Moore (พลังของไมโครโปรเซสเซอร์จะเพิ่มขึ้นสองเท่าในทุกๆ 18 เดือน, พลังอํานาจในการประมวลผลจะเพิ่มเป็นสองเท่าในทุกๆ 18 เดือน, ราคาของการประมวลผลจะลดลงครึ่งหนึ่งในทุกๆ 18 เดือน 

• เทคโนโลยีนาโน (Nanotechnology) ทําให้สามารถผลิตชิพคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่มีขนาดเล็กลงกว่าเดิมมาก 

การจัดเก็บข้อมูลดิจิตอลเป็นจํานวนมาก
                ปริมาณข้อมูลดิจิตอลมีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทําให้มีการพัฒนาขีดความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลของอุปกรณ์

ค่าใช้จ่ายในการสื่อสารข้อมูลลดลง และการเติบโตอย่างก้าวหน้าของระบบ อินเตอร์เน็ต
                ผู้ใช้ที่สามารถใช้งานระบบอินเตอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น จํานวนเว็ปไซต์ต่างๆก็เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการสื่อสารข้อมูลลดลง

การกำหนดมาตรฐานของเทคโนโลยี
                ข้อตกลงระหว่าบริษัทผู้ผลิต และผู้บริโภคทั่วไป ในการยอมรับมาตรฐานของ เทคโนโลยีต่างๆ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการผลิตสินค้าลดลง เนื่องจากบริษัทสามารถ ผลิตสินค้าที่มีมาตรฐานเดียวกัน สามารถทํางานร่วมกัน และสื่อสารกันผ่านระบบ เครือข่ายได้

คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์แพลทฟอร์ม (Computer Hardware Platforms) 



อุปกรณ์ทางกายภาพของคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้อง ที่สามารถมองเห็นและสัมผัสได้

• Client machines : Desktops and mobile computing devices (Notebooks or laptops)
• Server machines : Mainframes, Blade servers (Ultrathin computers consisting of a circuit board with processors, memory and network connections that are stored in racks)
•Major suppliers - Microprocessors - IBM, Intel, and AMD - Hardware - HP, IBM, Dell, and Sun

แนวโน้มของคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์แพลทฟอร์ม (Current Trends In Computer Hardware Platforms) 

               ฮาร์ดแวร์มีการขยายตัวอย่างมาก จึงทําให้คอม ที่เอามาใช้ในธุรกิจเกิดการขยายตัวเช่น กัน รวมถึงเน็ตเวิร์ก มี การนํามือถือมาเป็นอุปกรณ์หนึ่ง ที่นํามาประยุกต์ใช้ในองค์กรและก่อให้เกิดการขยายตัว แนวโน้มของคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์แพลทฟอร์มมีดังนี้
                        1 The Mobile Digital Platform โทรศัพท์ smart phone ที่สามารถทำอะไรได้มากกว่าการเป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถลงโปรแกรมเพิ่มได้ มีเซนเซอร์ต่างๆติดมากับเครื่องมากมาย ทั้งจอสัมผัส ทั้ง GPSทั้ง Accelerometer ทั้งซีพียูพลังสูง หน่วยความจำขนาดใหญ่ storage ขนาดใหญ่มีการเชื่อมต่อแบบ Bluetooth / Wifi / Cellular เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ทั่วโลก ฯลฯ
                        2.Consumerization of IT and BYOD  การที่สมาทโฟนได้รับความนิยม ใช้งานง่าย และนํามาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย สมาทโฟนแสแท็บเล็ตจึง เป็นพื้นฐานที่ทําให้บุคลากรสามารถนํามาใช้ในสถานที่ทํางานได้ จึงทําให้เกิดความนิยมที่เรียกว่า BYOD หรือ Bring your own device
              3. Quantum Computing ระบบคอมพิวเตอร์ที่เปลี่ยนจากการทำงานบนแผงวงจร มาใช้คุณสมบัติพิเศษของอะตอมแทน โดยจากเดิมที่คอมพิวเตอร์ปัจจุบันจะแทนค่าข้อมูลด้วย Bit อันประกอบด้วยตัวเลข 0 กับ 1 ทีละตัวแล้วนำไปประกอบกัน แต่ระบบ Quantum Computing จะใช้อะตอมที่มีคุณสมบัติของ Quantum Bit หรือ Qubit สามารถประมวลผลเป็นตัวเลข 0 หรือ 1 พร้อมกันได้
                คุณสมบัติดังกล่าวทำให้แต่ละ Qubit ทำงานได้เร็วกว่า Bit อย่างมหาศาล นอกจากนี้ Qubit ยังสามารถสื่อสารกับอะตอมที่เป็น Qubit ด้วยกันได้โดยไม่ต้องผ่านสื่อกลาง ทำให้ Qubit สามารถประมวลผลร่วมกันได้ราบรื่นและรวดเร็ว รวมถึงรองรับงานแบบ Multitasking ได้ง่ายกว่า
                       4.Virtualization เทคโนโลยีภาพเสมือนจริง เป็นการประมวลผลโดยการจําลองทรัพยากรที่ใช้ในการประมวลผล เช่น คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ ข้อมูล ให้สามารถเข้าถึงได้โดยไม่จํากัดในด้านของสภาพทางกายภาพ และสภาพทางภูมิศาสตร์ ทําให้ ภาพเสมือนจริง ทํางานในทรัพยากรต่างๆได้ดี กล่าวได้ว่า การทําให้ภาพเสมือนจริง เพียงหนึ่งชิ้น ถูกแสดงออกมา ให้เห็นได้หลายชิ้น
                      5. Cloud Computing  บริการที่ครอบคลุมถึงการให้ใช้กำลังประมวลผล หน่วยจัดเก็บข้อมูล และระบบออนไลน์ต่างๆจากผู้ให้บริการ เพื่อลดความยุ่งยากในการติดตั้ง ดูแลระบบ ช่วยประหยัดเวลา และลดต้นทุนในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายเอง ซึ่งก็มีทั้งแบบบริการฟรีและแบบเก็บเงิน
                    6. Green Computing เทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม คือ แนวคิดในการบริหารจัดการ และเลือกใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการการใช้พลังงาน ลดการใช้พลังงาน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดการสร้างขยะ รวมถึงการนำขยะอิเลคทรอนิคส์มารีไซเคิลใหม่อีกด้วย
                เป้าหมายสูงสุด คือ อุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ หรือขยะอิเล็คทรอนิคส์ต้องถูกนำกลับมาใช้ใหม่ได้ทั้งหมด และไม่มีส่วนประกอบที่ทำจากสารพิษ อุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ต้องใช้พลังงานน้อยลง แต่มีความสามารถในการทำงานมากขึ้น ตามแนวคิดที่ว่า "Maximum Megabytes for Minimum Kilowatts" ซึ่ง Green Computing ก็ถือเป็นแนวทางปฏิบัติหนึ่งที่นิยมใช้กันในองค์กรอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
                  7. HIGH-PERFORMANCE AND POWER-SAVING PROCESSORS  หน่วยประมวลผลถูกแบ่งออกเป็น 2 คอร์ให้สามารถประมวลผลพร้อมกันได้ เหมือนกับมีหน่วยประมวลผล หลายตัว ทําให้สามารถใช้งานหน่วยประมวลผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดการทํางานได้น้อยลง

กรณีศึกษา เรื่อง “IS IT TIME FOR CLOUD COMPUTING?"

บริการคลาวด์ให้ประโยชน์กับธุรกิจ ดังนี้
1.ประหยัดการลงทุนเรื่องทรัพยากรคอมพิวเตอร์ เพราะเปลี่ยนมาเป็นการเช่าระบบแทน ซึ่งทำให้บริษัทที่มีเงินลงทุนจำกัดสามารถมีระบบสารสนเทศที่ดีใช้ได้เท่า เทียมกับบริษัทอื่นๆ
2.สามารถสร้างระบบใหม่ขึ้นมาใช้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว เพราะว่าผู้ให้บริการจะจัดเตรียมทรัพยากรขนาดใหญ่ไว้รองรับผู้ใช้บริการอยู่ แล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องมีระยะเวลาการ ออกแบบระบบ สั่งซื้อฮาร์แวร์ และติดตั้งฮาร์ดแวร์ ซึ่งแค่นี้ก็ลดระยะเวลาดำเนินการไปเป็นเดือนเลยทีเดียว
3.เพิ่มขนาดทรัพยากรได้ง่ายดายและรวดเร็ว ในกรณีที่ระบบของผู้ใช้บริการมีขนาดใหญ่ขึ้นก็ย่อมต้องขยายทรัพยากรให้เพิ่ม ขึ้นตามการใช้งาน ซึ่งระบบที่เป็นของบริษัทเองคงต้องทำการออกแบบและสั่งซื้อและติดตั้งกัน วุ่นวายเสียเวลา ด้วยการใช้บริการ Cloud computing ก็ทำให้การเพิ่มขนาดทรัพยากรนั้นง่ายและรวดเร็วภายในข้ามคืนเท่านั้น
4. ขจัดปัญหาเรื่องการดูแลระบบทรัพยากรสารสนเทศ ออกไปให้ผู้ให้บริการ Cloud computing ดูแลแทน จึงทำให้ลดทั้งความยุ่งยากของการดูแลและลดจำนวนบุคลากรที่ต้องจ้างมาเพื่อ ดูแลระบบอีกด้วย

ข้อเสียของระบบคลาวด์คือ

1.จากการที่มีทรัพยากรที่มาจากหลายแห่ง จึงอาจเกิดปัญหาด้านความต่อเนื่องและความรวดเร็ว
2.ยังไม่มีการรับประกันในการทำงานอย่างต่อเนื่องของระบบและความปลอดภัยของข้อมูล
3.แพลทฟอร์มยังไม่ได้มาตรฐาน  ทำให้ลูกค้ามีข้อจำกัดสำหรับตัวเลือกในการพัฒนาหรือติดตั้งระบบ site
4.เนื่อง จากเป็นการใช้ทรัพยากรที่มาจากหลายที่หลายแห่งทำให้อาจมีปัญหาในเรื่องของ ความต่อเนื่องและความเร็วในการเข้าทรัพยากรมากกว่าการใช้บริการ Host ที่ Local หรืออยู่ภายในองค์การของเราเอง


แนวคิดของการปรับขยายการวางแผนกำลังการผลิต

การวางแผนกำลังการผลิตที่ดีจะต้องควบคู่ไปกับการควบคุมกำลังการผลิตที่ดีด้วย เพราะแผนที่วางไว้จำเป็นจะต้องนำไปปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพด้วย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการควบคุมเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่ได้วางไว้ จากที่กล่าวมาข้างต้นสามารถสรุปเป็นวัตถุประสงค์ในการวางแผนกำลังการผลิตและควบคุมกำลังการผลิตได้ ดังนี้

วัตถุประสงค์ในการวางแผนและควบคุมกำลังการผลิต

1. จัดหากำลังการผลิตที่จำเป็นต่อการตอบสนองแผนการผลิตที่วางไว้ให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย
2. ดูแลให้ต้นทุนการผลิตต่ำ
3. ลดช่วงเวลานำในการผลิต
4. ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรการผลิตของโรงงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
5. จัดรวบรวมข้อมูลข่าวสารและผลลัพธ์จากการวางแผนให้กับฝ่ายบริหารเพื่อการตัดสินใจ 

TCO : Total Cost of Ownership – ต้นทุนการเป็นเจ้าของ
                TCO ซึ่งย่อมาจาก Total Cost of Ownership เป็นดัชนีวัดต้นทุนของฮาร์ดแวร์ซอฟต์แวร์ หรือระบบงาน โดยรวมเอาต้นทุนทั้งหมด ทั้งทางตรงและทางอ้อมเข้าด้วยกัน เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคหรือบริษัทสามารถตัดสินใจเลือกซื้อได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
                ในการพิจารณาเลือกระบบงานหรืออุปกรณ์ทางด้าน IT การคำนวณเปรียบเทียบตัวเลือกต่างๆ จะใช้เฉพาะราคาที่ต้องจ่ายในการจัดซื้อครั้งแรกมาเป็นตัววัดเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ แต่ต้องพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายแอบแฝงอื่นๆ ด้วย และในความเป็นจริงแล้ว เงินที่ต้องจ่ายเป็นค่าซื้อซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์เป็นครั้งแรกนั้น เป็นมูลค่าเพียงแค่ 9-10% ของต้นทุนทั้งหมดเท่านั้น

ธุรกิจมีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์จากการใช้คลาวคอมพิวติ้ง ดังนี้

1. ช่วยลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
                Cloud Computing ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายขององค์กรได้มหาศาล เพราะผู้ให้บริการจะเป็นฝ่ายลงทุนทรัพยากรด้าน IT เกือบทั้งหมด ตั้งแต่ Hardware, การวางโครงสร้างพื้นฐาน ไปจนถึงการดูแลระบบต่าง ๆ ตลอด 24 ชั่วโมง โดยคิดค่าใช้จ่ายแบบ Pay as you go หรือคิดตามการใช้งานจริง ต่างกับการที่แต่ละธุรกิจต้องลงทุนติดตั้ง Hardware และจ้าง
พนักงาน IT เพื่อดูแลระบบภายในองค์กรเอง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด 

2. รองรับการขยายตัวของธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว
                ระบบ Cloud สามารถเพิ่มขนาดความจุ CPU หรือขยายพื้นที่ Storage สำหรับจัดเก็บข้อมูลได้ตลอดเวลา เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจที่ต้องใช้ Infrastructure ทางด้าน IT เพิ่มมากขึ้น โดยมีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยากและไม่เสียเวลา จึงสามารถนำเวลาไปพัฒนาศักยภาพด้านอื่น ๆ ของธุรกิจได้อย่างเต็มที่

3. เพิ่มความสะดวกและความรวดเร็วในการทำงาน
                ข้อดีของ Cloud ที่ทุกคนต่างให้การยอมรับ คือ ความสะดวกรวดเร็วในการใช้งาน เนื่องจากไม่มีข้อจำกัดเรื่องสถานที่ เวลา หรืออุปกรณ์ เพียงมีอินเทอร์เน็ตก็สามารถใช้งานได้ เช่น การประชุมผ่าน Skype for business, การแชร์ไฟล์เอกสารต่าง ๆ ผ่านเว็บไซต์ หรือการใช้ Smart VDI เพื่อเข้าถึงข้อมูลผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อย่างไร้ข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็น Notebook , Tablet หรือแม้กระทั่ง Smartphone

4. เข้าถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัยก่อนใคร
                บริษัทที่ใช้ Cloud Computing มีโอกาสเข้าถึงนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้มากกว่า เนื่องจากผู้ให้บริการ Cloud จะทำหน้าที่อัพเกรดระบบและสรรหาเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น Blockchain, Virtual Machine หรือ Application ใหม่ ๆ เพื่อนำมาพัฒนาใช้ร่วมกับระบบ Cloud พร้อมนำเสนอ Solutions ที่เป็นประโยชน์กับแต่ละธุรกิจอย่างเหมาะสมอยู่เสมอ

5. ข้อมูลถูกจัดเก็บอย่างปลอดภัย
                การใช้ระบบ Cloud กับผู้ให้บริการที่มี Data Center อยู่ในประเทศไทย และได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล เช่น ISO, PCI DSS หรือ CSA-STAR ช่วยให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลของคุณจะถูกจัดเก็บไว้ภายใต้ระบบรักษาความปลอดภัยที่รัดกุม มีนโยบายรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ และไม่ถูกนำข้อมูลไปแสวงหาผลประโยชน์อย่างแน่นอน 







อ้างอิงบท 3 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น